วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ35 (ตอนจบ )





ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เราดีใจและตื่นเต้นขนาดไหน
ที่เรารักกันมาเป็นเวลาช้านาน
ต้องพลัดพรากจากกัน จนเกือบจะไม่ได้พบเจอกันอีก
แต่เราก็กลับมาพบกันได้
นั่นเป็นเพราะว่าภายในจิตใจเราทั้งสองคน
ยังยึดมั่นในรักซึ่งกันและกัน
มั่นคงในรักแท้มาตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าบางครั้งกายเราจะห่างไกลกัน
แต่สำหรับหัวใจเรา
ยังใกล้ชิดกัน ไม่เคยห่างกันแม้เวลานาทีจะเปลี่ยนไป
หรือตัวเราจะไกลห่างเพียงใด

เช้ามาเรารีบไปรับริญเพื่อไปดูชุดที่จะมาสวมใส่กัน
ในวันสู่ขอเธอในครั้งนี้

วริญญาเลือกชุดไทย เป็นผ้าไหมสีชมพู ซึ่งเป็นสีที่เธอโปรดปราน
ส่วนตัวเราเลือกสูทสีขาวทั้งชุด
เมื่อลองชุดจนแน่ใจว่าสวมใส่ได้พอดี
เราก็นำชุดกลับมาด้วย
และพาเธอไปดูสร้อยแหวน พอเป็นพิธี
ซึ่งตัวริญเอง เธอได้ออกปากว่า อย่าแสวงหาสิ่งของอื่นใดมาอีกเลย เท่านี้เธอก็พอใจแล้ว

เราพาริญไปส่งที่บ้านคุณย่า
ส่วนเราก็กลับไปเตรียมตัวที่คอนโด และนัดหมายกับคุณกิตติพงษ์ และพี่พงษ์
ให้มาพร้อมหน้ากันที่บ้านคุณย่าริญ เวลาประมาณ หนึ่งทุ่ม

เมื่อได้เวลานัดหมาย
แขกผู้ใหญ่ที่นับถือของแต่ละฝ่ายก็พร้อมเพรียงหน้ากันแล้ว
เรากับริญเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งคู่
เมื่อมาพร้อมหน้ากันครบแล้ว

คุณย่าของริญก็เป็นผู้เปิดเรื่องทั้งหมด
ว่ายังไง พ่อสุพจน์แม่อรพิน
เมื่อทิวมาสู่ขอตามประเพณีแล้ววันนี้
พวกเธอสองคนในฐานะพ่อกับแม่จะว่ายังไง

พ่อสุพจน์ซึ่งเป็นพ่อของริญก็เอ่ยขึ้นว่า
คุณแม่ครับ เด็กสองคนนี้รักกันมานานตั้งแต่ยังเด็กอยู่ที่ขอนแก่นโน้น
ตั้งแต่ทิวยังเป็นเพียงแค่เด็กส่งของอยู่เลย
ตอนนั้นผมกับแม่ริญเขาได้พยายามแยกพวกเขาออกจากกัน
แต่ก็ไม่สามารถ แยกใจของพวกเขาทั้งสองได้
เมื่อลูกทั้งสองมีความรักที่มั่นคง

โดยเฉพาะทิว เธอได้พิสูจน์แล้วว่า เธอมีความมุ่งมั่น
เธอผลักดันตัวเองขึ้นมาจากเด็กส่งของไม่มีอนาคต
มาวันนี้เธอกลับเดินนำหน้าริญไปได้
ฉันภูมิใจแทนลูกสาวฉันที่เลือกคนไม่ผิด
และฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดขวางความสุขของลูกๆอีกต่อไป
จึงยินดียกลูกสาวของฉันกับแม่อรพิน คือวริญญา
ให้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากับเธอตั้งแต่บัดนี้
ขอให้ลูกทั้งสองจงครองรักกันจนตายจากกัน

พอจบคำพ่อสุพจน์เราสองคนจึงก้มกราบพ่อกับแม่ของริญเพื่อขอบคุณ

แล้วสินสอดทองหมั้นล่ะ พ่อสุพจน์กับแม่อรพินจะเรียกเท่าไหร่ล่ะ คุณย่าริญ ดำเนินเรื่องต่อ

สำหรับสินสอดทองหมั้นก็ขอพอเป็นพิธีเท่านั้นนะทิว
พ่อกับแม่มีลูกสาวคนเดียว ทุกวันนี้ก็เป็นข้าราชการบำนาญ
ลำพังพ่อแม่ก็มีเงินบำนาญเลี้ยงชีพอยู่ได้อยู่มีความสุขในบั้นปลาย
ชีวิตนี้ก็ห่วงอยู่แต่ลูกสาวเท่านั้น
เมื่อเธอให้ความสุข ความมั่นใจกับลูกสาวฉันได้
คนเป็นพ่อกับแม่ก็ตายตาหลับแล้ว

เมื่อพ่อริญกล่าวจบ แม่ของริญก็ได้นำแหวนที่พ่อของริญใช้หมั้นกับแม่เธอออกมาส่งให้เรา
แม่กับพ่อไม่มีลูกชาย แหวนวงนี้คงไม่ได้ไปหมั้นใครอีกแล้ว 
แม่ก็ขอมอบให้เธอสวมนิ้วเป็นของหมั้นให้ริญ
ซะทิวแม่อรพินพูดจบก็ส่งแหวนให้เรา
พอเรารับแหวนมายังไม่ทันสวมให้ริญ
คุณย่าริญก็กล่าวขึ้นว่า
เดี๋ยวก่อนพ่อทิว
ย่าก็มีของจะให้เธอเช่นกัน
ว่าแล้วคุณย่าก็หยิบสร้อยเพชรเส้นหนึ่งจากกล่องส่งให้เรา
พร้อมกับบอกให้เราสวมคอให้ริญซะ ย่าให้หลานทั้งสอง
จากนั้นเราก็สวมแหวนของแม่ริญและสร้อยเพชรของคุณย่าให้กับริญ
ริญก้มกราบที่ตักเราด้วยความยินดี

จากนั้นคุณกิตติพงษ์และพี่พงษ์ก็ได้นำสินสอดทองหมั้นที่เราเตรียมไว้
ยกส่งให้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว

เอาล่ะวันนี้เป็นอันว่าเสร็จพิธี ต่อไปนี้หลานทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว
โดยการรับรู้ของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแล้ว
ส่วนจะมีพิธีการอย่างไรต่อไปต้องให้พ่อสุพจน์กับแม่อรพินเขาจัดแจงต่อไป คุณย่าริญประกาศ

ผมว่าวันนี้ก็จัดเลี้ยงเล็กๆในครอบครัวเราครับคุณแม่
ส่วนพรุ่งนี้ ผมก็จะเชิญคุณแม่กลับขอนแก่นกับผม
เพราะผมเชื่อว่าริญกับทิวคงอยากกลับไปทำพิธีแต่งงานกันที่นั่นแน่นอน
ใช่ไหมทิว พ่อสุพจน์ถาม เหมือนรู้ใจเราทั้งคู่
เราทั้งคู่ขอบคุณคุณพ่อริญที่เข้าใจพวกเรา

หลังจากนั้นเราทั้งสองคนก็ได้ก้มกราบญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายด้วยความขอบคุณและปลาบปลื้ม
ในขณะที่สายฝนก็เริ่มจะลงเม็ดโปรยปรายมาเป็นสักขีพยาน
เมื่อทุกอย่างกำลังดำเนินการไปได้ด้วยดีและกำลังจะจบลง

ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่นมาจากข้างนอก
เราและทุกคนมองตามเสียงนั้นออกไป
เป็นเสียงของพี่ขิงกำลังห้ามปรามนายเอกอมรอยู่
ยังไม่ทันไรนายเอกอมรก็เดินตรงเข้ามาเหมือนคนขาดสติ
ผมไม่ยอม ผมไม่ยอมนะครับคุณย่า
ริญจะแต่งงานกับไอ้หมอนี่ไม่ได้
ริญต้องแต่งงานกับผมเท่านั้น
นายเอกอมรประกาศก้อง
ทุกคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พ่อของริญสั่งให้เราพาริญเข้าไปในบ้านและปิดประตูเสีย
ทางนี้จะจัดการเอง
ขณะที่เรากำลังจะประคองริญลุกขึ้น
เพื่อพาเข้าไปในบ้าน
นายเอกอมรก็ชักปืนออกมากวัดแกว่ง
ไปมาเหมือนคนขาดสติ
พ่อริญสั่งให้เรารีบพาริญเข้าไปในบ้านด่วน
ขณะที่เรากำลังหันหลังให้เพื่อจะพาริญเข้าบ้าน
ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
เรารู้สึกว่ามันชาที่หัวไหล่ด้านซ้ายเรา
ทุกคนส่งเสียงร้องลั่นว่าเราถูกยิง
เราสังเกตุตัวเองว่าเริ่มมีเลือดไหล
อาบโชนเสื้อสูทสีขาวเราจนแดงไปด้วยเลือด
เรารู้สึกจุกจึงทรุดตัวลงนั่ง
ขณะที่ริญก็เข้าประคองอยู่ไม่ห่าง

นายเอกอมรยิงปืนขู่อีกพร้อมกับวิ่งเข้ามากระชากแขนริญออกจากเรา
พาริญวิ่งไปขึ้นรถของตัวเอง ทุกคนวิ่งไล่ตามแต่นายเอกอมรก็ตวัดปืนไปมาซ้ายขวา
และพาริญขึ้นรถขับออกไปนออกบ้าน

เราแข็งใจลุกขึ้นมาและวิ่งไปที่รถเพื่อไล่ขับตามริญกลับคืนมา
เราขับรถไล่ตามไปติดๆ อยู่ในระยะที่มองเห็น
เรามองเห็นนายเอกอมรยังใช้ปืนจี้ไปที่ตัวริญอยู่
ในขณะที่มือหนึ่งยังถือพวงมาลัย
คนอื่นๆทั้งพี่พงษ์และคุณกิตติพงษ์ก็ขับรถตามหลังออกมาเช่นกัน

ฝนก็กำลังตก
เราเปิดกระจกและขับรถเบียดขึ้นไปที่รถนายเอกอมรกับริญนั่งอยู่
พร้อมส่งเสียงเรียกให้นายเอกอมรใจเย็นๆจอดรถพูดคุยกันก่อน
แต่นายเอกอมรกลับใช้ปืนยังสวนมาที่รถเราหลายนัด
เราหักหลบอย่างแรง
และเมื่อมองไปที่รถนายเอกอมร
เราเห็นริญกำลังเข้าแย่งปืนออกจากนายเอกอมรอยู่อย่างชุลมุน
รถส่ายไปส่ายมา
ไม่นานเราก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด
พร้อมกับรถของนายเอกอมรหยุดนิ่งที่ข้างทาง

นายเอกอมรเปิดประตูรถวิ่งออกไป
พร้อมร้องด้วยความตกใจ
ก็ไม่ได้ทำ กูไม่ได้ทำนะโว๊ย มันเป็นอุบุติเหตุ
เราจอดรถและวิ่งไปดูริญ

ริญถูกยิง กำลังนอนหายใจรวยริน
อยู่ที่เบาะ
เราร้องสุดเสียง

ริญ ริญ
อดทนไว้ริญ
ทิวจะพาไปหาหมอ
เราเข้าไปอุ้มร่างที่โชกไปด้วยเลือดของริญวิ่งกลับมาขึ้นรถของเรา
และขับออกไปอย่างเร็วเพื่อนำเธอส่งให้ถึงมือหมอ
ตลอดทางเราก็พยายามพูดกับริญไปตลอดทาง

ริญเธอพูดย้ำๆอยู่หลายครั้ง
พาริญกลับบ้านที่มอดินแดงให้ได้นะทิว
พาริญกลับไปบึงสีฐาน
ขณะที่เสียงเธอเริ่มเอื่อยและเบาลงเรื่อยๆ
เราก็มาถึงโรงพยาบาล
อุ้มร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนำส่งโรงพยาบาล
ร่างของเธอถูกนำเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน
ไม่นานทุกคนก็ขับรถตามมาถึง
พ่อของริญสอบถามเราด้วยความห่วงใยริญ
และบอกให้เราไปรักษาตัวด้วยเช่นกัน
แต่เราบอกว่า ผมยังไหวครับ
รอดูริญก่อน

ไม่นานหมอก็เดินออกมาเราทุกคนตรงเข้าไปถามหมอพร้อมกัน
แต่คำตอบที่ได้จากหมอคือ
คนไข้เสียเลือดมากและถูกยิงในจุดที่สำคัญ
เธอเสียชีวิตแล้ว
ทุกคนร้องไห้โฮพร้อมกัน
เราวิ่งเข้าหาริญในห้องผ่าตัด
ขณะที่ทางโรงพยาบาลเข็นร่างของเธอออกมา
ต่อหน้าพวกเราทุกคน
เราวิ่งเข้าไปกอดซบกับร่างของริญ
เราร้องไห้พูดไปต่างนาๆ

ทำไม
ทำไม้จ้ะริญ
กว่าเราจะมีวันนี้ได้ เราต้องรอมานานเท่าไหร่
ทิวลำบากเท่าไหร่เพื่อจะทำให้มีวันนี้
วันที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน
ทุกอย่างที่ทิวสร้างมา
เพื่อริญคนเดียว
ไม่มีริญแล้วทุกอย่างมันก็ไม่มีความหมาย
ทำไมริญมาทิ้งทิวไปอย่างนี้
เราร้องฟูมฟายนานเท่าไหร่ไม่รู้
จนคุณกิตติพงษ์และพี่พงษ์
เข้ามาสะกิดและลูบที่หลังเรา

พ่อกับแม่ริญก็เข้ามา
ต้องพาริญกลับบ้านเราก่อนทิว
เราจึงนึกขึ้นได้
ใช่ ใช่แล้วริญอยากกลับบ้าน ริญอยากกลับมอดินแดง เธออยากกลับบึงสีฐาน
เราอุ้มร่างไร้วิญญานของเธอไปที่รถเรา
ผมจะพาริญกลับบ้าน
พ่อกับแม่ริญและคุณกิตติพงษ์
เข้ามาบอก สภาพจิตใจทิวยังแย่มากจะขับไหวเหรอ
ทุกคนจึงลงความเห็นว่าจะตั้งศพริญที่วัดที่กรุงเทพสวดศพสามวัน
เมื่อฌาปนกิจเสร็จเราค่อยนำเถ้าอัฐิของเธอกลับบ้าน

เราก็ยอมตามนั้น
ร่างของเธอถูกนำไปที่วัด
จัดแจงตามพิธีกรรมทางศาสนา
แต่จิตใจของเรามันเจ็บปวดเหลือเกินที่มองเห็นร่างของคนรักแน่นิ่งไม่ไหวติง
มันเป็นภาพที่เจ็บปวดยิ่งนัก

เราตัดสินใจบวชหน้าไฟให้เธอ
ภายหลังเมื่อเสร็จจากงานฌาปนกิจศพเธอ
เราก็ได้นำเถ้าอัฐิของเธอกลับไปโปรยที่บึงสีฐานและทุกที่ที่เธอชอบไป

ถึงบ้านเราแล้วริญ
ริญจำได้ไหมที่นี่ล่ะบึงสีฐาน
ต้นสนคู่นั้นก็อยู่ที่นี่
เราจะไม่จากมันไปไหนอีกแล้วริญ
เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่

เราตัดสินใจบวชไม่สึก เพื่อเธอ

เช้ามืดวันต่อมา
อาตมามารับบิณฑบาตรที่บ้านโยมพ่อโยมแม่ของริญ
เห็นภาพที่คนแก่วัยเกษียณ อยู่อย่างเดียวดาย
มันน่าสลดใจนัก
อาตมาเดินมาที่ริมบึงสีฐาน
ยังเห็นภาพของวริญญา เธอยังอยู่ที่นี่

อาตมาหยุดแผ่เมตตาให้เธอ
ขอให้โยมริญจงไปสู่สุขคติ
จงไปรออาตมาที่สวรรค์ก่อน
อาตมาไม่ได้บวชเพื่อสร้างนิพพาน
แต่อาตมาจะสร้างผลบุญกรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้โยมทุกวัน
และเราจะไปพบกันที่สวรรค์เมื่ออาตมาสิ้นลม
และเราจะให้สวรรค์ชดใช้ให้กับเราในชาตินี้ที่ทำกับเราไว้
ให้เราได้เกิดมาเป็นคู่กันครองรักกันจนแก่เฒ่าและตายจากกัน
อย่าได้เหมือนกับชาตินี้
ที่สวรรค์ให้เรามาพบกัน
มารักกัน
และก็พรากเราทั้งสองจากกัน
และก็นำเรามาจนได้กำลังจะแต่งงานกัน
แล้วสวรรค์ก็มาพรากเราจากกันอีก
ต่อไปนี้จะไม่มีใครพรากเราจากกันได้
อาตมาขอยึดมั่นในสัจจะวาจาทุกอย่างที่เคยเปล่งไว้กับโยม
เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตไม่มีเปลี่ยนแปลง

จากนั้นมาอาตมามารับบาตรที่บ้านโยมพ่อโยมแม่ริญก็ไม่เห็นภาพของเธออีก
ทั้งหมดนี่้เป็นเส้นทางรักของอาตมากับโยมวริญญา
ซึ่งมันเป็นเส้นทางรักสีชมพูงดงามมาโดยตลอด
อาตมาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมาจบลงด้วยสีดำเช่นนี้
เรารักกัน เข้าใจกัน ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน
ตลอดเส้นทางรักเรา
มันเต็มไปด้วยความหอมหวาน เข้าใจในรัก
แต่สุดท้ายเรากลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ต้องร้างไกลกัน
มันชั่งเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด
ที่พวกเราได้รับ
ทั้งที่เรารักกันจนปานจะกลืนกิน
แต่กลับจบลงด้วยน้ำตา
มีอะไรที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่านี้
มันไม่มีอีกแล้ว
พบกันใหม่ชาติหน้าเถิดวริญญา
รักและอาลัย เป็นยิ่งนัก

และเมื่อปี2533ที่เธอจากไป
อาตมาต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองมาเป็นเวลาช้านาน
ก่อนที่จะตัดสินใจเขียนบันทึกเรื่องราวของเรานี้ไว้ในไดอารี่สีดำเล่มนี้
เพื่ออุทิศส่วนกุศลมอบส่งแด่เธอ วริญญา

พระทิว พนมไพร
30กรกฎาคม 2547




จบบริบูรณ์





2 ความคิดเห็น:

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น