วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ25


เมื่อเรารับประทานอาหารกันเสร็จสรรพ
พวกเราก็ไม่มีงานอะไรแล้ว
ปลาก็ได้เต็มเรือ
ส่วนอวนก็ถูกตัดทิ้งไปแล้ว
เวลานี้จึงเป็นเวลาที่ทุกคนพักผ่อนนอนเล่นกันตามสบาย
รอเวลาเรือเข้าถึงฝั่งอย่างเดียว
เรานอนหลับแล้วก็ตื่นๆอยู่สองคืนสองวันเรือยังเข้าไม่ถึงฝั่ง
มองไปรอบๆข้างก็ไม่มีอะไรมีแต่น้ำทะเลกับเสียงเรือ
และฝูงปลาโลมาที่คอยกระโดดน้ำโชว์ตัวอยู่ไกลออกไป
ไม่มีสีเขียวของต้นไม้
ไม่มีร่องรอยของแผ่นดินเราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้มาเดือนกับสองวันแล้ว
มันเป็นช่วงเวลาที่เราแย่ที่สุดในชีวิต
เพราะเราไม่รู้อะไรเลยในทะเลนี้
เราไม่รู้ว่าเรากำลังอยู่ตรงไหน
เราไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปไหน
ที่กลางทะเลลึก
มันไม่มีแม้นกซักตัวจะโบยบินมาให้เห็น
เป็นเวลาเดือนเศษที่เราออกมาเผชิญโชคชะตาอยู่กับเรือตังเกกลางทะเลกว้าง
ไม่เคยได้อาบน้ำจืดเลยสักครั้ง
อย่างเก่งก็แค่ล้างหน้าแปรงฟัน
ใช้ผ้าชุบเช็ดตัวเหมือนกับเช็ดไข้
ส่วนผมเผ้านั้นไม่ต้องพูดถึง
เส้นผมของเราจากที่เคยดกดำสลวย
เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะฤทธิ์ความเค็มของเกลือทะเลและแดดเผา
มันแตกปลายเหนียวเหนอะหนะ ไม่เคยโดนแชมพูสระผมเลยตลอดเดือนเศษ
วันๆเปียกแช่อยู่กับน้ำทะเลที่เค็มๆและตากแห้งด้วยแสงแดดที่สาดลงมาจากท้องฟ้า
มาสู่ตัวเราโดยตรงโดยไม่มีแม้เงาของต้นไม้หรือแนวป่าจะมาบดบังแสงให้
สภาพของเราเวลานี้
ไม่เหลือร่องรอยของทิวคนเก่าอยู่เลย
ใส่กางเกงขาสั้นจากยีนที่ตัดขาที่แข็งเขรอะไปด้วยเกล็ดปลาคราบคาวปลา
เหม็นคาวเป็นยิ่งนัก
ส่วนเสื้อก็ไม่ได้ใส่ห่อปกปิดร่างกายเลยเพราะกลัวเสื้อเหม็นคาว
ต้องถอดเสื้อตากแดดแช่เค็มตัวเองอยู่กับทะเลมาแรมเดือน
ผิวกายที่เคยใสกลับเปลี่ยนเป็นสีดำหยาบกระด้าง
เต็มไปด้วยคราบเกลือที่เกาะเกล็ดอยู่

ดูเหมือนว่าถ้าลองชิมเนื้อของตัวเองเวลานี้คงไม่ต่างอะไรกับเนื้อเค็ม
หรือไม่ก็ปลาเค็มดีๆนี่เอง

คิดไปคิดมา
หัวใจเรามันก็อดไม่ได้หรอกที่หวนให้คิดถึงวริญญา
ภาพและความทรงจำเก่าๆมันลอยวนเวียนอยู่ในความทรงจำไม่เคยลบเลือนหายไปแม้สักวินาที
ไม่ว่าคืนวันจะผ่านผันไปอย่างไร น้ำเสียใสอ่อนหวานของเธอยังคงชโลมใจเรา
แม้เวลาผ่านไปแต่ก้นบึ้งของหัวใจ ยังเฝ้าร้องเรียกหาแต่เธอวริญญา

ป่านนี้เธอคงเฝ้าแต่รอคอยว่าเราจะส่งข่าวไปหา
ตามสัญญาที่เราพูดจาไว้กับเธอว่าสิ้นเดือนจะลาออกจากงานที่ขอนแก่นมาหาเธอ
นี่มันเลยเวลามาได้เดือนเศษแล้ว เธอยังไม่เห็นแม้เงาของเรา
หรือแม้เพียงข่าวจากเรา
ริญจ๋า
เธอจะรู้ไหมว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ทิวถูกชะตากรรมซัดพาให้ไปตกอยู่กลางทะเลกว้าง
โดยเกือบจะไม่ได้กลับเข้าฝั่งอีกแล้ว
ทิวหวังว่าริญคงเข้าใจและให้อภัยทิว
ด้วยเหตุปัจจัยที่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนทิวเองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้

แต่ขอให้ริญ เชื่อเถิดว่า
ภายในหัวใจทิว
มีริญอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่นานแน่ริญ รอทิวอีกหน่อย
เมื่อทิวถึงฝั่งทิวจะกลับไปหาริญอีกครั้งให้ได้

ขณะที่เรานั่งคิดรำพึงรำพันอยู่นั้น
ก็มีเสียงเรียกเรา

ทิวๆๆทิวโว้ย
เราหันไป พี่เอก
พี่เอกนั่งกวักมือเรียกในมือถือปีนฉมวกนั่งเล็งอะไรอยู่
เราลุกเดินไป

ทิวคอยดูนะเดี๋ยวพี่จะยิงไอ้หลามให้ดู พี่เอกบอกพร้อมชี้นิ้วออกทางทะเลให้เรามองดู
ไหนครับพี่ ฉลาม เราถาม
พี่เอกก็ชี้นิ้วให้ดู พร้อมบอกว่าโน้นตรงสันคลื่นที่เห็นไหว ๆมองเห็นยัง
เรามองดูตามน้ำก็ไม่เห็นมีอะไรเห็นมีแต่คลื่น
จึงตอบพี่เอกไปว่า เห็นมีแต่คลื่นครับพี่ ไม่เห็นฉลามเลย

พี่เอกจับแขนเราเข้าไปใกล้
นี่ทิวเองดูนะ แกต้องมองที่กระโดงหลังมันที่โผล่พ้นน้ำ แกถึงจะเห็น
อย่าไปมองระดับเดียวกับน้ำ
เราพยายามสังเกตดูตามพี่เอกบอก
ก็เป็นความจริงเราเริ่มเห็นแผงกระโดงหลังของฝูงปลาฉลามอยู่ประมาณ 3-4 ตัวเห็นจะได้

เห็นแล้วครับพี่เอกผมเห็นแล้ว ดูว่ามันจะมีซัก 4 ตัวเราร้องบอกพี่เอก
จับตาดูมันไว้ทิว
รอให้มันเข้ามาใกล้เรือเราก่อน ให้อยู่ในระยะยิงได้ก่อน
พี่จะยิงมัน พี่เอกบอก
พี่จะยิงมันทำไมละครับ
เราถามด้วยความสงสัย
ตัดเอาหูมันไง พี่เอกตอบ
เองรู้ไหมตัวหนึ่งขายได้หลายเงินอยู่นะทิว พี่เอกบอก
พอเรือเข้าไปใกล้ฝูงฉลาม เสียงยิงปืนฉมวกดังขึ้น
ที่ลูกฉมวกจะมีเชือกผูกไว้ที่ปลายด้านหนึ่งเมื่อยิงโดนก็จะสาวเชือกลับเข้ามาหาเรือ
 โดนแล้วทิว พี่เอกร้องเรียกเรา พร้อมบอกให้เรามาดึงเชือกลากฉลามเข้ามา
พวกเราลุกมารวมตัวกันอีกหลายคนช่วยกันดึงฉลามเข้ามาและยกขึ้นเรือ
เป็นฉลามตัวใหญ่ เลือดแดงฉานเต็มเรือ

พี่เอกบอกตัดเอาหูมันออกมาเร็วจะได้โยนมันลงไปเป็นเหยื่อล่อพวกมันอีกทีก่อนมันจะหนี
เราก็นั่งพิจารณาอยู่นานก็ไม่เห็นมันจะมีหู
จึงร้องบอกพี่เอกว่า
หูฉลามมันอยู่ตรงไหนนะพี่ผมหาไม่เจอ
พี่เอกหัวเราะลั่น
เองนี่มันซื่อจริงๆเลยวะไอ้ทิว
พร้อมกับเดินเข้ามา
หูฉลามมันไม่มีหรอกโว้ย
แต่ที่เขาเรียกหูมันก็คือ คีบ คือกระโดงหลัง และหางมันด้วยตัดมาให้หมด
นั่นแหละเขาเรียกรวมกันว่าหูฉลาม
เราก็ใช้มีดฟันฉับเข้าให้พร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆก็ช่วยกันจับกันทำ
จนฉลามเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน
เพื่อนๆพี่ช่วยกันยกตัวฉลามที่ไม่มีคีบ หาง และกระโดงหลัง โยนลงทะเลอีกครั้ง
เลือดสีแดงของฉลามยังคาวคละคลุ้งอบอวน
ถูกโยนลงทะเลจนทำให้น้ำบริเวณนั้นแดงไปด้วยเลือดฉลาม

ไม่นานฝูงฉลามก็กรูกันเข้ามากัดกินพวกเดียวกันเอง
พี่เอกยิงฉมวกเข้าใส่อีก
พร้อมพี่คนอื่นก็ช่วยกันยิงและลากฉลามขึ้นเรือ
ตัด คีบ ตัดหาง ตัดกระโดง อีกจนหมด
แล้วพวกเขาก็โยนตัวฉลามทิ้งลงทะเลไป
ส่วนคีบหางทั้งหลาย พวกเขานำไปล้างน้ำ
ก่อนที่จะนำไปมัดใส่เชือกขึงตากแดดไว้กลางเรือ

เราเพิ่งจะเห็นภาพอันสุดสยองนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
และก็เพิ่งจะรู้ว่าไอ้ที่เขาเรียกหูฉลาม ที่แท้มันก็คือ
คีบ หาง และแผงกระโดงหลังมันนั่นเอง

เขาจะเอาไปทำอะไรครับพี่เราถามพี่เอกด้วยความอยากรู้
เขาก็จะเอาไปขายให้ภัตตาคารใหญ่ในเมืองให้พวกเศรษฐีเขากินกัน พี่เอกบอก
แล้วทำไมตัวมันเขาไม่เอาครับ เราถามอีกด้วยความสงสัย
เนื้อมันคาวไม่อร่อย เขาไม่นิยมกัน พี่เอกตอบ
แล้วคีบมันอร่อยไหมครับพี่ เราถาม
ถ้าเองเคยกินปลาสวายมันก็ไม่ต่างกันหรอกว้าทิว
ต่างตรงที่ราคามันแพงกว่า มีเครื่องปรุงอะไรเติมเข้าไปเท่านั้นเอง
เองอยากกินไหมล่ะ เอาไปให้พี่หวิลทำให้กิน ทำสดๆมันคาวหน่อยนะ
ยังไม่แห้ง  ว่าแล้ว พี่เอกก็หยิบคีบมาคีบหนึ่งส่งให้เรา
แล้วเราก็นำเข้าครัวให้พี่หวิลสอนให้ทำ

เมื่อทำเสร็จสรรพเราใส่ถ้วยยกออกมาหาพี่เอก เรียกพี่เอกมากินรวมถึงคนอื่นด้วย
พี่เอกบอกคนที่นี่เขาเบื่อหูฉลามกันที่สุดเลยทิว เหลือแต่พวกเองที่มาใหม่เท่านั้นแหละที่ไม่เคยกิน
เรียกเพื่อนมากินกันไป พี่เอกบอก

พี่คนอื่นก็นั่งดูนั่งลุ้นอยู่
เราเรียกเพื่อน 8 คนที่ไปด้วยกันมากินหูฉลามกัน
เราตักใส่ปาก รสชาติมันเหนียวข้น หนังมันหนืดๆกลิ่นมันคาวเอาเรื่องอยู่อย่างพี่เอกว่า
แต่รสชาติของมันก็ไม่ต่างจากปลาสวายเท่าไหร่อย่างพี่เอกบอก
 เพียงแต่เครื่องแกงมันเข้มข้นกว่าเท่านั้น

เรานั่งกินหูฉลามกันไปไม่นาน เราเริ่มมองเห็นฝูงนกนางนวล บินวนอยู่ฝูงใหญ่
เราแปลกใจมากเพราะเราไม่เคยเห็นฝูงนกหรือนกอะไรซักตัวมาเดือนกับสามวันแล้ว
เรามองไปไกล เห็นเงาทะมึนของภูเขาลางๆอยู่ไกลๆ
ถึงฝั่งแล้วเราร้องบอกพี่เอก ด้วยความดีใจ
พี่เอกบอกยังหรอกทิว ยังอีกหลายชั่วโมง
ภูเขาที่เองเห็นลิบๆอย่างน้อยเราก็แล่นเรืออีก6ชั่วโมงโน้นแหละกว่าจะถึง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น