วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นาฬิกาชีวิต

คลิกที่ภาพเพื่อดูต้นฉบับ


ชีวิตคนเรานั้นมันสั้นนัก

นาฬิกาชีวิตของคนเรานั้นมันไม่ได้ถูกสร้างมาให้มีความเป็น อมตะ

คนเราแต่ละคนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีอายุอยู่ได้ซักกี่ปี

ดังนั้นเราจึงไม่ควรเสียเวลา เสียใจ จมปรักอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

จนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้

เพราะนั่นคือการเสียโอกาสของชีวิต ที่จะได้เรียนรู้และเปิดรับเอาสิ่งใหม่ๆ

ที่กำลังจะก้าวเข้ามา

หลายครั้งที่เราเจ็บ

ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เราไม่ยอมให้โอกาสตนเองนั่นเอง

เราไม่เรียนรู้จากอดีต แต่เรากลับใช้อดีตเป็นสิ่งยึดติด

จนเราสูญเสียวิถีชีวิต ตามที่มันควรจะเป็นหลายๆอย่าง




เรายอมให้อดีตมันมากดทับทำลายชีวิตปัจจุบันของเรามากจนเกินไป

จนไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ๆให้เข้ามาในชีวิตเราเลย
บางครั้งเราเคยคิดถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า

เราทำไปเพื่ออะไร

เพื่อใคร

จะมีใครซักกี่คนที่เข้าใจในสิ่งที่เรานั้น

อดีตที่ถาโถม บางคเกิดมาจาก สมองเราไม่เคยคิดที่จะลืมมันนั่นเอง

เรายังพยายามปลุกความคิด ความรู้สึกที่เจ็บปวดนั้น

ให้มันตื่นขึ้นมาอยู่กับเราเสมอ

ทำไมเราไม่ลืมมันไปเสียล่ะ

ให้มันลบเลือนหายไปตามกาลเวลา

แล้วนำพาชีวิตเราให้เข้มแข็งและอยุ่ต่อไปให้จงได้


















คิดถึง ก็มาหา รู้ไหมว่า พี่ยังคอย
ความหวัง แม้เหลือน้อย ยังเฝ้าคอย ให้เป็นไป
รักมาก ก็ทุกข์มาก ไม่อยากจาก กันไปไกล
แม้เหลือ เพียงเส้นใย ก็จะไม่ ละความเพียร
ซักวัน เธอคงรู้ เมื่อมีผู้ ให้บทเรียน
กงกรรม และกงเกวียน มันไม่เปลี่ยน แวะเวียนมา
วันหนึ่ง เธอร้องไห้ โศกอาลัย กินน้ำตา
วันนั้น แม่ขวัญตา จงกลับมา พี่ยังคอย



































วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สิ้นแรงรัก



หัวใจของคนมันหมุนวนเหมือนสายน้ำ
ไม่แน่ไม่นอนแปรปรวนรวนเร เฉไปก็เฉมา
นี่แหละคน
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ตราบใดที่ยังเคลื่อนไหวได้
ก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
.......บางคน.....
ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง เงินทอง
ทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อทำให้ได้มันมาไม่ว่าวิธีการใด
บางคนก็ต้องการเพียงชีวิตที่สงบเงียบเรียบง่าย
บางคนก็ต้องการอิสระเสรีภาพที่จะออกโบยบินไปทั่วทิศ
ตามที่แรงหัวใจปรารถนา

ชีวิตฉันก็เช่นกัน
ฉันไม่ต้องการแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียง
ฉันต้องการเพียงเสรีภาพ ที่จะทำทุกสิ่งตามที่เสียงหัวใจเรียกร้อง
ฉันต้องการมีชีวิตเหมือนนกป่า 
แม้จะอดบ้าง อิ่มบ้างบางวันบางเวลา
ฉันก็ยินดีที่จะมีชีวิตเช่นนั้น ขอเพียงให้ฉัน มีอิสระ มีเสรีภาพ
ท่องไปในโลกกว้าง ไม่มีขีดเส้นพรมแดนขวางกั้น
ฉันต้องการโบกบินไปตามสายลมเย็น ที่โชยพัด
ฉันอยากบินไปให้สุดหล้าฟ้าเขียว
ฉันต้องการท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง
ฉันต้องการเห็น และเรียนรู้ทุกวัฒนธรรม
ที่ฉันผ่านไปพบเจอ

โดยไม่ต้องมีใครมาบอกฉันว่า อย่างนั้นไม่ได้ อย่างนี้ไม่ดี
เพราะฉันมั่นใจว่า ฉันมีจิตสำนึกที่ดีพออยู่แล้ว

เส้นชีวิตที่ผ่านมา ฉันพบว่า
ชีวิตฉันมีอิสระที่จะโบยบินมาตั้งแต่ต้น และฉันก็เคยได้รับได้สัมผัสชีวิตนั้นแล้ว
แต่...วันเวลานึง ชีวิตฉัน ถูกเขาจับมากักขังล่ามตัวเอาไว้
จนฉันสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิมของฉันไป
หลายปีที่ผ่านมา ฉันเฝ้า แต่โหยหา อิสระภาพ เสรีภาพที่ฉันเคยได้เคยมี
ทุกวัน ฉันเฝ้าแต่หันมองย้อนไป ที่ที่ฉันเคยอยู่ เคยใช้ชีวิตผ่านมา
ฉันเฝ้ามอง วันแล้ววันเล่า จนตะวันลับตาไป
เมื่อสิ้นแสงสุรีย์ ก็ใช่ว่าใจฉันนี้จะหยุดพร่ำเพ้อหา
รอยอดีต มีกรีดย้ำ แผลใจอยู่ตลอดเวลา
หลายปีที่ผ่านมา ฉันทุกข์ ฉันทรมาน กับวิถีชีวิต ที่มีคนอื่นเป็นผู้กำหนด
จนร่างกายฉันเสื่อมทรุดโทรมตามวัน เวลาที่มันผ่านไป
หัวใจที่เคยเข้มแข็ง บัดนี้มันอ่อนล้า โรยแรง
จินตนาการที่เคยบรรเจิดจ้าท้าฝัน บัดนี้มันเป็นเพียงจินตนาการที่มืดมน
เหลือเพียงเงาที่เลือนลาง นับวันที่เส้นทางชีวิตฉัน จะเดินเข้าสู่
ความสิ้นหวัง สิ้นหวังในอิสระภาพ สิ้นหวังทางความคิด
สิ้นหวังในชะตาชีวิต หรือว่านี่ คือลิขิตชีวิตฉันที่เขาคอยกำหนด