วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อยากมีคนร่วมทาง


ตามอุดมการณ์หรือความเชื่อในทฤษฎีประชาธิปไตยในยุคแรกเขาเชื่อว่า



  1. เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนเกิดมาสามารถฝึกฝนตนเองและเรียนรู้ได้
  2. เชื่อว่ามนุษย์สามารถปกครองตนเองได้
  3. เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองได้
จากความเชื่อดังกล่าว เมื่อวิเคราะห์ตามจะเห็นว่า ถูกต้อง เป็นจริงตามนั้น
มนุษย์เรียนรู้ได้ ปกครองตนเองได้ และเลือกสิ่งที่ดีให้ตนเองได้

แล้วถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมมนุษย์ทุกคนในโลกจึงมีสถานะทางสังคมไม่เท่ากัน
ตำตอบก็คือ ฐานความรู้ หรือองค์ความรู้ ที่ทุกคนมีไม่เท่ากัน ตัดสินใจในสภาพแวดล้อมไม่เท่ากัน การตัดสินใจบนฐานที่ต่างกัน ทำให้ความสำเร็จ ความผิดพลาดไม่เท่ากันตามไปด้วยนั่นเอง

สภาพแวดล้อม หรือสังคมรอบข้างสำคัญกับการตัดสินใจเราอย่างไร

สภาพแวดล้อมสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของเรา เช่น เราอยู่ในสังคมรอบข้างที่เอาเปรียบชิงดีชิงเด่น จะส่งผลต่อเราอย่างน้อย 2 แนวทาง

  1. คือเราถูกสังคมนั้นกลืน คือเห็นด้วยกับวิธีการที่สังคมนั้นยอมรับและปฎิบัติ จึงเข้าเป็นพวกด้วย
  2. เห็นต่างจากพฤติกรรมในสังคมนั้น พยายามที่จะต่อต้านหรือปฎิวัติสังคมนั้นให้ดีขึ้นตามทัศนะตนเอง เป็นต้น




หรือเมื่อเราอยู่กับคนเช่นไร เราก็มักมีความโน้มเอียงไปกับคนคนนั้นด้วย เช่น

อยู่กับคนเล่นการพนัน ม้า มวย หวย บอล และอื่นๆ ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเช่นนั้นด้วย เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย เพราะเราเองก็ไม่รู้วิธีหรือหนทางอื่นที่จะหาเงินมา หรือหาประโยชน์จากวิธีสุจริตได้

คนที่รู้แค่ไหน เมื่อมานำทางเรา มันก็จะพาเราเดินไปแต่สิ่งที่มันรู้ เพราะมันมีความรู้เท่านั้น มีความสามารถเท่านั้น เคยหาเงินได้โดยวิธีช่องทางนั้น มันก็พาเราไปทางนั้น

คนที่เชี่ยวชาญด้านอื่นก็เช่นกัน เมื่อเขาเชี่ยวชาญด้านใดเขาก็จะพาเราเดินไปทางนั้น เขาเชี่ยวชาญเรื่องการศึกษา เห็นความสำคัญของการศึกษา คนพวกนี้ก็จะชวนและชี้ทางให้เราเดินไปทางนี้ด้วย เพราเขาเคยเดินเส้นทางนี้มาก่อน รู้ว่าชีวิตจะดีกว่ามั่นคงกว่า คนไม่มีการศึกษาอย่างไร

ดังนั้นการได้คนนำทางที่ดี ก็จะทำให้เราพลอยได้ดีไปด้วยเข้าสุภาษิตโบราณ คบคนพาลพาลไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ซึ่งจริงตามนั้น


การจะดูนิสัยคนว่าเป็นอย่างไรจึงดูไม่ยากดูแค่ว่า

  1. มันชวนเราไปไหน ก็แสดงว่ามันชอบทางนั้น มันถนัดทางนั้น
  2. ดูว่ามันขนเข้าหรือขนออก หมายถึงมันหาทรัพย์เข้าบ้าน หรือชอบขนทรัพย์ออกจากบ้าน

เช่นเดียวกันกับกรณีที่หญิงหลายคนบอกว่า ผัวฉันกินแต่เหล้า
พอถามว่า เธอเจอผัวเธอที่ไหนตอนจีบกัน เธอตอบว่าก็ในวงเหล้านั่นแหละ กินด้วยกันทุกวันจนได้กัน ก็ถ้าคำตอบคืออย่างนั้น จะผิดอะไร ผู้ชายคนนั้นก็เป็นอย่างนั้นมาแต่ต้นอยู่แล้ว แต่เราเลือกเอง

หรือบางคนบอกว่า ผัวฉันเอาแต่เที่ยวเตร่กลางคืน 
พอย้อนถามว่าเจอกันที่ไหน ก็ตอบว่าสถานบันเทิงเริงรมย์กลางคืน 
มันก็เป็นคำตอบให้ตนเองในตัวอยู่แล้ว ก็มันเป็นของมันอยู่ก่อนแล้ว

กรณีอื่นก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้นก่อนที่เราจะโทษคนอื่น ลองถามใจตัวเองก่อนว่า เราเจอไอ้คนนี้ที่ไหนนะ
ถ้าเรารับได้ก็แสดงว่า เราก็ชอบ จริตเดียวกัน หรือคอเดียวกัน

แต่ถ้าเราไม่ชอบมันไม่ใช่ ก็ต้องถึงเวลาตัดสินใจที่จะหยุดเดินตามทางเส้นนั้น แล้วลองหันมาเดินทางเส้นอื่นดู ชีวิตมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เมื่อเรารู้ว่าไม่ใช่เราก็หยุดและเปลี่ยนเส้นทางใหม่ อย่ายอมจำนนกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตเราทั้งชีวิต อย่าผูกชะตาไว้กับคนที่นำทางที่ไม่ดี หรือบางทีเราลองนำทางตัวเราเองบ้างจะเป็นไร

การตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีให้กับตนเอง มันไม่ใช่สิ่งผิด นั่นคือความกล้าหาญที่ตัดสินใจเลือกแนวทางที่ถูกต้องที่เจริญให้กับตนเอง

เหมือนเรามีร้านขายก๋วยเตี๋ยว ขายมา ห้าปี สิบปี ก็ไม่รวย เราก็ต้องพิจารณาหาสาเหตุเพื่อจะแก้ไข ว่าเป็นเพราะอะไร อาจเป็นทำเลไม่ดี ฝีมือไม่อร่อย หรือคนไม่กินก๋วยเตี๋ยว หรือมันมีเยอะหลายร้าน เราต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน


 เมื่อเราเจอเหตุเราก็จะเจอผลโดยไม่ต้องสงสัย



เมื่อมันขายก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ ทำไมเราไม่ลองขายข้าวแกง ขายน้ำชา ขายกาแฟ ขายไก่ย่าง ขายปลาย่าง หรือขายอื่นๆดูบ้าง ทั้งที่มันก็นั่งขายเหมือนกัน

การที่เรานั่งจมปรักดักดานอยู่ที่ใดนานๆ ในที่สุดเราก็มักคิดไปเองว่า คงเป็นกรรมยอมรับมันไปเหอะ ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ เมื่อเราอยู่ที่ใดนานๆ ห้าปี สิบปีแล้วไม่ก้าวหน้าไม่ดีขึ้น ไม่มั่นคง ในขณะที่เราแก่ตัวลงทุกวัน นั่นแสดงว่า สิ่งที่เราอยู่มันผิดที่ผิดทาง มันไม่เหมาะกับเรา

การประกอบอาชีพหรือการใช้ชีวิต มันไม่ใช่เรื่องของเวรของกรรม
มันเป็นเรื่องที่จะต้องปรับเปลี่ยนได้เสมอ เมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่ อะไรที่เราอยู่แล้วไม่เจริญ มันคือไม่ใช่ การเห็นหนทางที่ดีกว่า เหตผลอะไรที่เราจะไม่ลุกออกไป

การที่มีใครซักคน ยื่นมือ ยื่นโอกาสดีๆให้เรา รักเรา พร้อมจะพาเราไปสู่ทางที่ดีขึ้น เราต้องถามตัวเองว่า เราพร้อมจะให้โอกาสกับตนเองหรือไม่ หรือเราแคร์แต่คนรอบข้าง 
ก็เพราะคนรอบข้างมันทางตัน แล้วมันยังพาเราเดินต่อไปให้ตายด้วยกัน มันไม่ยุติธรรมสำหรับเรา เราต้องมีชีวิตอยู่อย่างน้อย 80 ปี เราถามตัวเองว่า ตลอดเส้นทางที่เหลือนี้ คนคนนี้เพียงพอที่จะพาเราเดินฝ่าอุปสรรคตลอดเส้นทางได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ไปต่อ ถ้าไม่ก็ถอยออกมา

เขาไม่มีเรา เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้
เมื่อไม่มีเรา วันหน้าเขาก็ไปหาคนใหม่ต่อไป เมื่อเรามีโอกาสเดิน เราต้องเดิน มีโอกาสคว้าต้องคว้า ชีวิตไม่ใช่ แค่ กิน ขี้ ปี้ นอน มันมีอะไรมากกว่านั้นในเส้นทางชีวิตที่ยาวไกล

ออกมาเถิดคนดี


  • เดินทางชีวิตใหม่ไปกับพี่ 
  • เส้นทางร่วมกับพี่อาจไม่ราบรื่นนัก แต่พี่มั่นใจว่าจะไม่ทิ้งเธอกลางทาง
  • เส้นทางร่วมกับพี่อาจมีทะเลาะกันบ้าง แต่พี่สัญญาว่าจะไม่มีตบตีจากลูกผู้ชายคนนี้
  • เส้นทางร่วมกับพี่อาจไม่หรูหราแต่พี่รับรองว่าเธอจะไม่หยิบยืมเขากิน
  • เส้นทางร่วมกับพี่อาจไม่เพอร์เฟค แต่พี่สัญญา ทุกลมหายใจจะมีแต่เธอผู้เดียว



  • เธอจะได้รู้ว่าครอบครัวเป็นอย่างไร
  • เธอจะได้รู้ว่าอยู่กับคนที่เรารักและเขารักเราเป็นอย่างไร
  • เธอจะได้รู้ว่าผู้ชายที่ดีเป็นอย่างไร
  • เธอจะได้รู้ว่า โลกนี้ยังสวยงามเสมอ



  • พี่จะไม่บอกว่ารักเธอมากแค่ไหน แต่จะบอกเธอว่า จนกว่าพี่จะหมดสิ้นลมหายใจ
  • พี่จะไม่บอกเธอว่า พี่เป็นดี แต่เธอจะเห็นความแตกต่างด้วยสองตาเธอเอง
  • พี่จะไม่บอกเธอว่ามันดีอย่างไร แต่เธอจะได้พบเห็นเอง
  • พี่จะไม่ถามเธอว่า เธอเคยผ่านมือผู้ชายมามากน้อยแค่ไหน ใครบ้างแต่พี่จะถามเธอเพียงว่า เธอพร้อมที่จะตายเคียงข้างพี่ในชีวิตที่เหลือนี้หรือไม่
  • พี่จะไม่ถามว่าเธอมีปัญหาอะไร แต่พี่จะบอกเธอว่า เราจะแก้ทุกปัญหาไปด้วยกันอย่างมีสติ

ในวันที่พี่ไม่มีเกียรติยศ พี่ก็ชี้มือไปที่เธอว่าหัวใจพี่อยู่ที่นั่น
และพี่ก็พร่ำ พูดเสมอว่าพี่สามารถหยิบคว้ามันมาได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีเธออยู่ร่วมทาง
ในวันนี้พี่พอมีเกียรติยศ พอเห็นช่องทาง และในหัวใจพี่ก็ยังชี้มือมาที่เธอเหมือนเดิม
หรือว่าเธอจะปล่อยให้คนรักเธอ ตรอมตรมอย่างนี้ตลอดไป

เกียรติยศชื่อเสียงใดไม่มีความหมายสำหรับพี่ หากข้างกายไร้ซึ่งเงาคนรู้ใจ
พี่จะทิ้งมันทันที ทิ้งมันอีก เพื่อบอกให้เธอรู้ว่า เธอเท่านั้นที่พี่ต้องการ


  • แม้ไม่ได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ แต่ก็พร้อมและยินดีจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายของเธอ