วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ16


ขบวนรถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีขอนแก่น
หัวใจเราก็เริ่มหวั่นหวิว
เพราะนี่เป็นการเดินทางไกลที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา
ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้ามันเป็นอย่างไร
เราจะเผชิญกับอะไรบ้าง
หนุ่มวัยรุ่นที่มีอายุเพียง18ปี เดินทางไกลเพียงลำพังหัวเดียวกระเทียมลีบ
เข้ากรุงเทพ โดยไม่มีแม้ญาติมิตรหรือคนรู้จักอยู่ที่นั่น นอกจากริญ ยอดดวงใจของเรา

เรานั่งรถไฟ ครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดทาง
เมื่อรถไฟเข้าจอดตามสถานี ก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าหิ้วของ รุงรังวิ่งขึ้นรถไฟ
เพื่อมาขายของบนรถ ขึ้นสถานีนั้น ลงสถานีนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดรายทางทั้งคืน
จนถึงสถานีหัวลำโพง ซึ่งเป็นปลายทางสุดท้ายในเวลาเช้ามืด เราดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
เป็นเวลาตีสี่เศษ เพราะเราขึ้นรถออกจากสถานีรถไฟขอนแก่น ทุ่มครึ่งเท่านั้นเอง

ผู้คนมากมายหลั่งไหลลงจากรถ หอบหิ้วข้าวของ จูงลูกจูงหลาน
เดินกันขวักไขว่ไปมาจนลายตา
เราไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่ตรงไหน
พอก้าวเท้าพ้นจากชานชาลา เราก็หาที่นั่งพักตั้งหลักซักครู่ภายในบริเวณหัวลำโพง
รอให้สว่างกว่านี้ก่อนค่อยออกไป


ขณะที่เรานั่งคอยเวลาอยู่นั้น
ก็จะมีผู้คนเข้ามาถามจะไปไหน พร้อมจับแขนลากแขนเราจะให้ไปกับเขาให้ได้
เป็นพวกคนขับรถบริการอยู่แถวนี้นี่เอง
ภาพอย่างนี้เราก็เคยเห็นจนชินตาที่สถานีรถไฟและ บ.ข.ส. ขอนแก่น
แต่ไม่เคยเห็นที่ถึงขั้นลากจูงแย่งยื้อถือกระเป๋าอย่างนี้

นี่หรือสังคมเมืองหลวง
เมืองที่เขาลือกันว่าเต็มไปด้วยความเจริญ
เมืองที่เขาลือกันว่า เต็มไปด้วยโอกาสและโชคชะตา
ให้คนมาเสาะแสวงหา

แต่เราเห็นภาพเหล่านี้แล้ว มันชั่งผิดกับที่เราได้ยินมา
ผู้คนที่นี่มันเต็มไปด้วยการฉกฉวย แย่งชิง
ขาดความจริงใจ ขาดมิตรภาพ ขาดไมตรีจิต
มันชั่งแตกต่างจากบ้านเราเหลือเกิน
แต่เมื่อเราตัดสินใจแล้วที่จะมุ่งหน้ามาหามัน
ก็ต้องลองดูกันซักตั้งหละนะ เราคิดอยู่คนเดียวในใจ จนแจ้ง

เราจึงได้เดินออกมาจากหัวลำโพง
รถลา ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก มากกว่าบ้านเรานิดหน่อยเท่านั้นเอง
เรายังสังเกตุเห็นภาพของผู้คนยังนอนระเกะระกะ อยู่ข้างทางใกล้ๆหัวลำโพงอีกมากมาย
คนพวกนี้คงเป็นคนที่เข้ามาแสวงโชคเช่นเดียวกับเรา

เราเดินไปถามทางแม่ค้าที่ขายของละแวกนั้นว่าซอยหลังสวนไปทางไหน
แม่ค้าบอก ห่างจากนี้ก็ไม่ไกล อยู่ติดกับสวนลุม แม่ค้าบอก เรียกแท็กซี่ไปก็ได้ แม่ค้าบอก
เราก็กล่าวขอบคุณ

เราตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ ตกลงราคากัน คนขับแท็กซี่บอก ว่า 200 บาท 
เราคิดอยู่ในใจว่าทำไมมันแพงจัง เมื่อครู่เห็นแม่ค้าบอกมันไม่ไกล
ก็เลยต่อรองราคากับแท็กซี่
แต่แท็กซี่บอก ที่นี่มันกรุงเทพไอ้น้อง จะไปแท็กซี่มันก็ต้องแพงหน่อย ไม่งั้นเองต้องไปรถเมล์โน้น
พร้อมกับชี้้ไปที่ป้ายรถเมล์ที่มีคนยืนรอมากมาย
เรากล่าวขอบคุณครับแล้วกำลังจะเดินไป
แท็กซี่คนดังกล่าว คว้ามือเราไว้
แล้วพูดบอกว่า 80 บาทไปไหม ไม่ต้องรอรถเมล์ให้นาน
เราตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป
ในใจเราก็คิดว่าเมื่อกี้เรานั่งรถไฟมาจากขอนแก่นทั้งคืน เสียค่ารถแค่ 79 บาทเอง
ตอนนี้นั่งแท็กซี่ เสียตั้ง 80 บาท แต่ก็เอาเถอะ

พอขึ้นรถ  แท็กซี่ก็ชวนคุย เคยมากรุงเทพไหม
เราตอบไม่เคย เพิ่งมาครั้งแรก เราไม่รู้ว่าแท๊กซี่พาไปไหนบ้างเพราะเราไม่รู้จักมักคุ้นทางเลย
แต่นั่งแท็กซี่อยู่ตั้งนานก็ไม่ถึงซักที
เราถามแท็กซี่ว่าอีกไกลไหมครับ
แท็กซี่บอกถึงเมื่อไหร่จะบอก
เราก็นั่งเงียบต่อไปอีกตั้งนาน มองเห็นต้นไม้ คงจะเป็นสวนลุมตามที่แม่ค้าบอก
ดีใจคิดว่าคงถึงแล้ว
พอรถวิ่งใกล้เข้าไป ป้ายมันเขียนว่า สวนจตุจักร
เรารีบบอกแท็กซี่ นี่มันไม่ใช่สวนลุมนี่ครับพี่
แท็กซี่จอดข้างทาง ที่นี่สวนจตุจักร สวนลุมต้องอยู่โน้นถนนพระราม 4 โน้น
จ่ายตางค์มา 200 แล้วก็ลงไป
เราตกใจ
เอ้าแล้วงี้พี่ก็หลอกผมนะสิ  ผมไม่จ่ายตางค์พี่หรอกตั้ง 200
 แล้วพามานอกทางด้วยแบบนี้เป็นไงก็เป็นสิ
เราขึงขังเอาจริง ถึงแม้เราจะอายุน้อยกว่า
แต่ถ้าวัดตัวแล้วเราสูงประมาณ 175 เซนติเมตร ตัวโตกว่า
คนขับแท๊กซี่มากมาย

เองนี่มันเรื่องมากจริงๆว่ะ จ่ายมาแล้วก็ลงไป แท็กซี่ย้ำด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
เราก้าวขาลงจากรถ พร้อมบอกแท็กซี่ว่าผมจะไปแจ้งตำรวจแถวนี้ก่อน
แท็กซี่คว้าแขนเราอีกครั้ง พร้อมกับพูดสำทับว่า อย่านะโว๊ย แกอยากมีเรื่องเหรอ

ผมไม่อยากมีเรื่อง ผมอยากไปซอยหลังสวน ถ้าพี่พาผมไปผมก็จ่ายเงิน มันก็จบ
แต่นี่พี่พาผมมาสวนจตุจักร พี่นั้นแหละอยากมีเรื่อง เราทำท่าขึงขัง

ก็ได้ก็ได้ๆๆ งั้นเองจ่ายมา 80 บาท เท่าเดิม แท็กซี่บอก
80ผมก็ไม่จ่าย ผมจะเสียเงินโดยไปไม่ถึงเป้าหมายไม่ได้
งั้น 50 จ่ายมา แท๊กซี่บอก
เราก็เลยตัดความรำคาญ ถือว่าซวยไปยอมจ่าย 50 บาทให้แท็กซี่ไป
แล้วก็เดินไปนั่งที่ริมรั้วสวนจตุจักร หาทางกลับไปสวนลุมต่อไป



ไดอารี่สีดำ15


เมื่อเราได้ตัดสินใจแน่แน่วแล้วว่าจะลาออกจากงาน
และเดินหน้าเสี่ยงโชคเผชิญกับชะตาของตัวอีกสักครั้ง
เช้าวันต่อมาเราก็เข้าไปหาเฮียเจ้าของร้านเพื่อขอลาออก
ลื๊อจะออกไปทำไมวะ เฮียหลงซิง พูดขึ้นมา
แล้วเฮียจะไปหาคนที่ไหนมาแทนลื๊อได้ทัน
หน้าร้านก็มีเพียงลื๊อคนเดียว
นอกนั้นเขาก็เป็นชุดขายของเขาที่ไปกับรถกระบะไปเร่ขายส่งข้างนอก
เขาลงตัวเขาแล้วไปดึงมาก็ไม่ได้ เฮียบอก

ผมต้องขอโทษด้วยครับเฮีย ผมได้คิดดีแล้ว
ผมต้องขอบคุณเฮียที่เมตตาให้ที่อาศัยหลับนอนและให้งานผมทำ
หลายปีที่ผ่านมา 

ผมเพิ่งอายุ18ปีเอง ผมอยากไปเผชิญโลกภายนอกดูบ้าง
ดีกว่าปล่อยชีวิตให้มันหมดไปกับกาลเวลาโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เราพูดกับเฮีย
แล้วลื๊อเคยไปกรุงเทพหรือวะ เฮียถาม
ไม่เคยครับ ผมจินตนาการภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันเป็นอย่างไร
แต่ผมก็อาศัยอยู่ในเมืองขอนแก่นมานี่ก็เกือบสิบปีตั้งแต่เด็ก
มีความรู้เกี่ยวกับชีวิตในเมือง ใช้ชีวิตในเมือง
กรุงเทพคงจะต่างจากขอนแก่นตรงที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง เราสนทนากับเฮีย

เฮียใจหายนะ ลื๊ออยู่กับเฮียมาสามปีแล้ว ลื๊อเป็นคนดีซื่อสัตย์
มีไหวพริบ มีความฉลาดมุ่งมั่น จนเฮียยอมให้ลื๊อ อยู่กับโกดังสินค้าได้ ออกใบเสร็จเก็บเงินได้
ซึ่งคนงานคนอื่นต้องไปหาที่พักเองข้างนอก ลื๊อก็เห็น เฮียหลงซิงเผย

กราบขอบคุณเฮียมากครับที่เมตตาผม
ผมก็มีความสุขดีที่ได้ทำงานกับเฮีย
แต่ผมก็มีความจำเป็นต้องไปครับ เราย้ำกับเฮียอย่างหนักแน่น
เมื่อตัดสินใจแล้ว เฮียก็ไม่ฝืน อีกสองวันสิ้นเดือนมารับเงินเดือนสุดท้ายของลื๊อ
กับเฮียที่นี่ วันนี้ไปทำงานก่อน เฮียบอกและอนุญาตให้เราลาออก
เรายกมือไหว้ขอบคุณเฮียก่อนเดินออกมาจากออฟฟิศ

เย็นของวันนี้หลังเลิกงาน
เราก็คงยังไปที่บึงสีฐานอีกอยู่เช่นเคยตามปกติทุกวัน
และก็เห็นแพรว นักศึกษาน้องใหม่จากต่างถิ่นมานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วเหมือนเดิม

ทิว เธอร้องเรียกและกวักมือเรียกเข้าไปหา
เราสังเกตดูทีท่าเธอรู้สึกว่าเธอเริ่มจะคุ้นเคยกับเรา การใช้ภาษาสนทนากัน
ก็ไม่ขัดเขินเหมือนก่อน

เราก็นั่งสนทนากับเธออยู่ซักครู่ใหญ่ก็ขอตัวกลับ
แต่ดูทีท่าเธอจะพยายามชวนคุยเพื่อให้เราได้อยู่ต่อ
เราเองก็ยืนยันที่จะกลับ
และก็กลับมาได้ในที่สุด

เราทำงานอีกสองวันสุดท้ายก่อนจะลาออก
วันนี้สิ้นเดือนตามกำหนด เราเปิดร้านรวงจัดหน้าร้านเรียบร้อย
ก็ออกมานั่งที่หน้าร้าน

เพื่อนพ้องพี่น้องร่วมงานคนอื่นๆก็มารวมทีมของตัวเองกันพร้อม
ต่างจัดเตรียมข้าวของขึ้นรถของใครของมัน คันละสองคน 
เพื่่อวิ่งเร่ไปจำหน่ายตามร้านค้าทางไกลออกไป

เราเองก็เข้าไปพูดคุยบอกลาทุกคนว่าจะออกงานวันนี้แล้ว
และก็ขึ้นไปนั่งที่กระบะพ่วงข้างมอเตอร์ไซค์ที่เป็นยานพาหนะที่เราใช้วิ่งส่งของ
เป็นประจำทุกวันในระแวกใกล้ๆนี้
ต้องจากกันแล้วไอ้เกลอ
ขอบใจแกนะ ที่พาฉันไปพบกับริญ
และวันนี้ฉันก็กำลังจากแกไปพบกับริญอีกเหมือนกัน
ขอบใจมากไอ้เพื่อนยาก เราแอบพูดเบาๆอยู่กับรถส่งของคู่ใจ
ครู่เดียว เฮียก็เข้ามา
ทิวเข้าไปข้างในกับเฮีย เฮียหลงซิงเรียก
เราเดินตามเข้าไป
เฮียนั่งลง เปิดลิ้นชัก นำสมุดขึ้นมาให้เราเซ็นชื่อรับเงินเดือน
พอเราเซ็นชื่อเสร็จ เฮียก็ส่งเงินให้
นี่เงินเดือนสุดท้ายลื๊อนะทิว 1,500 บาท
ส่วนนี่เงิน 2,000 บาทเฮียกับเจ๊ให้ลื๊อส่วนตัว เฮียพูดพร้อมกับส่งเงินให้
เรามองหน้าเฮีย
รับไปเฮียให้ลื๊อ ไปกรุงเทพแล้วถ้าไม่สมหวังก็กลับมาหาเฮียได้ตลอดเวลานะทิว
เฮียเสียดายลื๊อจริงๆ
ลื๊อเหมือนเฮียตอนหนุ่มๆ
ลื๊อมองดูร้านนี้สิ มันไม่ใช่ของเฮียแต่แรก
มันเป็นของพ่อเจ๊เขา
เฮียก็ยากจนขายก๋วยจั๊บกับป๊าอยูหน้าโรงหนังในตลาด
จนได้พบกับเจ๊ แล้วเราก็รักกัน
ถูกกีดกันสารพัดจากฝ่ายพ่อเจ๊
แต่เฮียก็มุ่งมั่นทำมาหากินทุกอย่าง
หยิบจับอะไรที่ขายเป็นเงินได้เฮียขายหมด
จนซื้อรถกระบะเก่าๆได้คันหนึ่ง
ที่ลื๊อเห็นจอดทิ้งอยู่ในโกดังนั่นไง
นั่นแหละรถคันแรกของเฮีย 
เฮียใช้มันวิ่งส่งขายน้ำอัดลม เหร้า เบียร์
เครื่องดื่มทั้งหลาย เฮียไปรับจากร้าน
แล้วก็วิ่งออกเร่ขายเหมือนที่เพื่อนๆลื๊อไปทุกวันนี้
จนเฮียมาเช่าร้านตรงนี้ได้

จนในที่สุดพ่ออาเจ๊เขายินยอมให้เราแต่งงานกัน และซื้อตึกนี้ให้เฮียใช้ทำมาหากินจนทุกวันนี้

เฮียเล่าความหลังให้เราฟังอย่างไม่เขินอาย
เฮียรู้ว่าลื๊อจะไปตามแฟนใช่ไหมล่ะ
เฮียรู้นะอย่าคิดว่าเฮียไม่รู้
เพราะเหตุนี้เฮียถึงเข้าใจลื๊อ เฮียบอกกับเรา

ขอบคุณเฮียกับเจ๊มากครับ เรายกมือไหว้อีกครั้ง

วันนี้ลื๊อไม่ต้องทำงานแล้ว
ลื๊อไปเตรียมตัวลื๊อให้เรียบร้อย
เก็บข้าวของอาบน้ำแล้วนำกุญแจโกดังกับบริษัทมาคืนเฮียนะ ไปๆ

เรายกมือไหว้ลาเฮียอีกครั้งแล้วก็ขอตัวออกมาข้างนอก

อาบน้ำเสร็จสรรพเราเก็บข้าวของซึ่งก็มีเสื้อผ้าอยู่สี่ห้าชุดใส่กระเป๋าสะพายสีดำ
เก็บเอกสารสำคัญส่วนตัวทั้ง ใบ ร.บ. วุฒิ ม.3 สมุดธนาคาร ใส่กระเป๋าใบเล็กอีกใบ
ติดไว้กับตัว แล้วก็ออกมาลาเฮีย และมุ่งตรงออกไปนอกเมืองที่เทศบาลบ้านโนนชัย
เพื่อไปลาน้า ฝากเงินบางส่วนให้น้าไว้ใช้ฝากบางส่วนให้น้านำไปให้พ่อแม่ที่บ้าน
และฝากน้าลาพ่อแม่ที่บ้านให้ด้วย
เราไม่ได้บอกว่าจะไปกรุงเทพด้วยเรื่องอะไร
เรื่องของหัวใจทางครอบครัวไม่ว่าน้าหรือพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้
เราอยู่กินข้าวกับน้ามื้อนึง
แล้วน้าก็ขับมอเตอร์ไซค์มาส่งที่สถานีรถไฟ
เราบอกให้น้ากลับก่อน ไม่ต้องห่วง
พอน้ากลับเราก็แวะไปบึงสีฐานเป็นครั้งสุดท้าย
เวลาประมาณห้าโมงเย็น 
เรามาอำลาที่นี่ มาซึมซับและจดจำบรรยากาศที่นี่ให้ได้มากที่สุด
เราเองก็ไม่ได้ต่างจากริญที่คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อย
ริญเองเธอเกิดและวิ่งเล่นที่นี่จนโต ความรู้สึกของเธอคงยิ่งกว่าเรา

เรานั่งดู นอนดู ผุดลุกผุดนั่ง
และก็นึกถึงภาพเก่าที่ริญบอกให้เราแต่งกลอนบรรยายบรรยากาศริมบึงในวันนั้น
ทั้งที่เราไม่เคยแต่งกลอนเลย

พอคิดขึ้นได้ เราก็คว้ากระเป๋ามาหยิบเอาสมุดพก ปากกาออกมา แต่งกลอนอำลาที่นี่อีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย

เราเริ่มต้นที่

บึงสีฐาน  นั้นเป็น  พยานรัก
เป็นประจักษ์  พยาน  ที่ชัดแจ้ง
ทุกเย็นย่ำ  นั่งชม  ตะวันแดง
ที่สาดแสง  ส่องสอด  ลอดแนวไพร

สนคู่นั้น  ยืนยัน  และตอกย้ำ
ทุกเย็นค่ำ  สองเรา  อยู่ที่ไหน
สนคู่นี้  รู้เห็น  ความเป็นไป
ทุกถ้อยคำ  เอ่ยไว้  สนได้ยิน

มาวันนี้  ขอลา  ไปก่อนแล้ว
เพื่อตามหา  นางแก้ว  ดั่งถวิล
ต้องลาร้าง  ห่างไกล  ธรนินทร์
เพื่อออกตาม  หาริญ  ให้กลับมา

ขอฝากรัก  เอาไว้  ตรงนี้ก่อน
จะหวนคืน  กลับคอน  ย้อนมาหา
แล้วเราสอง  จะก้ม กราบบูชา
เมื่อกลับมา  คราวหน้า  ค่อยพบกัน
----------------------------------
ลาก่อนบึงสีฐาน ลาก่อน ต้นสนคู่
มีบุญวาสนา เราสองคนจะกลับมา พบกันอีกที่นี่

แล้วเราก็ลุกเดินออกจากมอดินแดง กลับสถานีรถไฟ
ซื้อตั๋วไปกรุงเทพ ใบละ 79 บาท
ก้าวขาขึ้นขบวนรถไฟ ด้วยใจอาวรณ์
ฉันไปตามหาหัวใจของฉัน ฉันไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีหัวใจอยู่ที่นี่
ทิ้งรอยอดีตไว้ที่นี่ ตรงนี้ เมืองขอนแก่น ลาก่อนขอนแก่น







วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ14


ทุกเย็นหลังเลิกงาน
เราก็ยังคงเดินไปที่ริมบึงสีฐาน
อยู่เป็นประจำทุกวันตามปกติไม่เคยขาด
และก็เช่นเคย
เราก็จะมองเห็นร่างของหญิงสาวมานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วทุกวันเช่นเคย
เพียงแต่ไม่ใช่ริญเท่านั้น
แต่เป็นแพรวนักศึกษาต่างถิ่นที่มาเรียนอยู่ที่นี่
เราพยายามจะเดินเลี่ยงหลบ
ไม่เดินเข้าไปบริเวณนั้น
ที่เธอนั่งอยู่
แต่หลายครั้งเธอก็แอบเห็นเรา
และเรียกเราเข้าไปนั่งด้วยอยู่หลายครั้ง
แพรวเธอก็ดูหน้าตาผิวพรรณดี
นิสัยใจคอก็เป็นดีคนหนึ่ง

แต่เธอไม่อ่อนหวานเหมือนริญ
ริญเธออ่อนหวานยิ้มง่ายเป็นธรรมชาติไม่เสแสร้ง
พูดตรงไม่อ้อมค้อมจิตใจงาม
ชั่งเจรจา
ผิวพรรณละเอียดอ่อนเนียนขาวเป็นธรรมชาติที่สุด
ทุกอย่างที่เธอมี มันไม่ได้ปรุงแต่ง
แถมน้ำเสียงของเธอ ใสกังวาน ยิ่งกว่าเสียงระฆัง บุคลิกอ่อนหวาน อ่อนโยน เรียบง่าย
ของเธอ ไม่มีใครเหมือน
และเธอก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่เปิดประตูหัวใจของเราเข้ามาได้ 
ต่างกับเรา
ถ้าไม่สนิทหรือรู้จักมักคุ้น
เราจะไม่คุยด้วยหรือถามคำก็ตอบคำ
คนที่เราไม่อยากรู้จัก
จะไม่มีทางได้รู้จักเรา
เราไม่ใช่คนเก็บตัว
แต่เป็นคนที่ค่อนข้างเลือกคนที่จะคบมากกว่า
แต่ถ้าตกลงได้คบหาแล้ว
ผู้ชายคนนี้ก็มีแต่ความจริงใจ
มั่นคง
ภายในความเงียบขรึมของเรา
มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

นับจากวันที่ริญจากเราไป
ถึงวันนี้ก็ใกล้ครบเดือนแล้ว
ริญยังไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย
ขณะที่เราเฝ้ารอ วันแล้ววันเล่า

วันนี้กลับจากบึงสีฐาน มอดินแดง
ถึงหน้าร้านเกือบสองทุ่ม
เดินผ่านหน้าร้านจะแวะไปโกดัง
เราก็สังเกตว่ามีเสียงโทรศัพท์ในร้านดังอยู่
เราเงี่ยหูฟังจนแน่ใจ
จึงใช้กุญแจไขเปิดร้านเข้าไปเพื่อจะไปรับสาย
พอเราเปิดประตูร้านลอดตัวเข้าไปข้างในได้
โทรศัพท์ก็เงียบเสียงเสียแล้ว คงดังมานานแล้ว เราคิด
เราจึงตัดสินใจนั่งรออีกซักครู่เผื่อโทรมาใหม่
เรานั่งรอไม่ถึงสามนาที
โทรศัพท์ก็ดังขึ้นจริงๆ
เรารีบยกหูรับสาย
สวัสดีครับบริษัทไทยสงวนครับ
ขอสั่งนำอัดลมหน่อยค้าเวลานี้ด่วนเลย เสียงหญิงสาวในสายพูดขึ้นมา
แต่เราปิดร้านแล้วนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะไปส่งให้  ทิ้งที่อยู่ไว้ก่อนนะครับ
ไปส่งที่ริมบึงสีฐานนะจ้ะ
ริญ..เราอุทานออกมาด้วยความดีใจสุดขีด เพราะจับน้ำเสียงได้
ริญสบายดีไหม เราถามเธอด้วยความรักและเป็นห่วง

สวัสดีจ้าทิว
ทิวไปไหนมา
ริญโทรมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น ก็ไม่มีคนรับสาย
นี่ก็แอบย่ามาโทรด้วยนะจ้ะ
ทิวขอโทษนะริญ
ทิวเพิ่งจะกลับมาจากบึงสีฐาน เราบอกเธอ
เสียงริญเงียบไป
ทิวไปบ่อยไหมจ้ะ เธอถาม
ทิวไปทุกวันเลย เราตอบเธอ
ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไหมทิว เธอถาม
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ขาดเพียงริญคนเดียวเท่านั้น
สนคู่นั้นก็ยังยืนอยู่คู่กันที่ริมบึงเหมือนเดิม
ทิวไปอยู่ที่นั้นจนมืดทุกวัน
ริญคิดถึงทิวมาก
ริญพูด
แต่น้ำเสียงเธอเริ่มสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้
ทิวจ้ะ ริญเหงามาก
ที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา
นอกจากมหาลัยกับบ้านแล้วริญไม่ได้ไปไหนเลย
จะโทรศัพท์ทีก็ต้องขออนุญาตคุณย่า
ริญคิดถึงบ้าน
ริญคิดถึงทิว
ริญคิดถึงพ่อแม่
คิดถึงบึงสีฐาน
ริญอยากกลับบ้าน ทิว เธอพูดไปร่ำไห้สะอื้นไป
เราเองก็ไม่ต่างจากเธอ
ที่ทั้งดีใจ ทั้งทุกข์ใจ
ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเธอ
เราเองก็พลอยน้ำตาซึมไปกับเธอด้วย
ริญอยากกลับบ้านทิว ริญอยากกลับบ้าน เธอพูดย้ำหลายครั้ง
แต่ริญต้องอดทนและเรียนต่อให้จบนะ เราบอกเธอ
ริญไม่อยากเรียนแล้วทิว เธอบอก
เราเริ่มใจไม่ดี

ไม่นะริญ ริญต้องเรียนต่อ
เรายังติดต่อกันได้นี่
แม้จะน้อยครั้งลง แต่ใจเรายังอยู่ด้วยกัน เราปลอบเธอ

ริญไม่ต้องกลับ
ทิวจะไปหาริญเอง เราบอกเธอ
เธอเงียบไปซักครู่
ยังไงนะทิว เธอพูดถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนขึ้น
ทิวตัดสินใจแล้วริญว่าทิวจะลาออกจากงานที่ขอนแก่นนี่เสีย
และจะนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพ ไปหางานทำที่กรุงเทพ ไปอยู่ใกล้ๆริญ 
เราพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ทำไมล่ะทิว ทิวออกไปทิวก็ต้องไปนับหนึ่งใหม่นะจ้ะ เธอให้ข้อคิด
นั่นแหละริญที่ทิวต้องการ
ทิวต้องการนับหนึ่งสองสามสี่ห้าไปเรื่อย
ไม่ใช่หยุดเป็นศูนย์อยู่อย่างทุกวันนี้
ริญคิดดูนะ ถ้าทิวยังอยู่ที่นี่ก็คงเป็นได้แค่เด็กส่งของเฝ้าร้านอยู่วันยังค่ำ
ขณะที่อายุเรายังน้อยอยู่
ทิวอยากลองไปเสี่ยงโชควัดชะตาตัวเองดูบ้าง
เผื่อบางทีโชคเข้าข้างเรา
อาจจะทำให้เราได้ยืนเคียงข้างกันอย่างไม่สะท้านอายก็ได้นะริญ เราอ้างเหตุผลกับเธอ

แต่ริญไม่เคยรังเกียจทิวเลยนะ เธอย้ำ
ทิวรู้ทิวเข้าใจ แต่คนเราต้องเดินไปข้างหน้า
ทิวจะไม่ยอมให้อนาคตของตัวเองหยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่ริญ
ทิวจะต้องยกตัวเองขึ้นไปหาริญให้ได้ เพื่อทิวจะได้มีโอกาสแต่งงานอยู่กินกับริญอย่างสมฐานะ
เราย้ำเหตุผลให้เธอฟัง
ริญเงียบเสียง
งั้นริญก็ขอให้ทิวประสบความสำเร็จนะจ้ะ ริญขอให้กำลังใจทิว ทำให้ได้นะทิว
ริญจะรอวันนั้น แล้วทิวจะมาเมื่อไหร่จ้ะ เธอถาม

สิ้นเดือนนี้ทิวจะไปลาเฮีย เขาออก จากนั้นจะแวะไปหาน้า
แล้วจะขึ้นรถไฟลงกรุงเทพคืนนั้นเลย
เมื่อไหร่ที่ทิวได้งานและทุกอย่างลงตัวแล้วทิวจะไปตามหาริญให้ถึงบ้าน
ตกลงไหมริญ เราให้คำมั่น
จ้าทิว ริญจะรอ 
แล้วเราก็คุยเรื่องหัวใจกันอีกจิปาถะ
สมควรแก่เวลาก็วางสายไป


                                                

ไดอารี่สีดำ13


หลังจากขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากสถานีจนลับหายไป
เราก็มานั่งทอดอาลัยที่หน้าสถานีต่ออีกตั้งนาน
ก่อนจะลุกขึ้นเดินอย่างหมดอาลัยตายอยาก
กลับยังที่พักซุกหัวนอน
เราปูเสื่อและคว่ำหน้าทิ้งตัวลงนอน
เพื่อจะผ่านพ้นคืนวันที่โหดร้ายนี้ไปให้ได้
แต่ยิ่งข่มตา จิตใจมันก็ยิ่งคิด
สมองมันคิดสับสนวุ่นวาย
วกเวียนไปมา
จนสว่างคาตา
เราจึงลุกเตรียมตัวเข้าทำงานตามปกติ
ทำไมบรรยากาศของเช้าวันนี้มันชั่งหมองเศร้าซะเหลือเกิน
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน มันไม่มีความโสภาน่าชื่นชมเอาเสียเลย
จะพูดจะจา สนทนาพาทีกับใคร ก็ขาดรสชาติ
ชีวิตของเราในวันนี้มันไม่ต่างอะไรกับผีตายซาก
มันดำเนินไปเช่นนี้จนถึงเย็น
ได้เวลาเลิกงาน
เราก็ปิดร้านตามปกติ
แต่วันนี้ไม่ได้เดินกลับโกดังเก็บของซึ่งเป็นที่พัก
เพื่ออาบน้ำอาบท่าเหมือนทุกวัน
แต่พอปิดร้านเสร็จ
เราก็เดินตรงออกไปที่สถานีรถไฟ
ไปยืนดูร่องรอยเหตุการณ์ต่างๆที่มันเพิ่งจะเกิดขึ้นและผ่านไปเมื่อคืนนี้
จากนั้นก็เรียกสามล้อตรงไปมอดินแดง
มุ่งหน้าไปยังใต้ต้นสนคู่นั้น ณ ริมบึงสีฐาน
ตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับริญ
ทุกครั้งที่เราเดินมาที่นี่
ภาพเก่าๆที่เราจะได้เห็นก็คือ
ริญจะมานั่งอ่านหนังสือรอเราอยู่ที่นี่ก่อนหน้าแล้วทุกครั้ง
แต่วันนี้เมื่อเราเดินเข้ามา
มองไปใต้ต้นสน
ก็เห็นภาพหญิงสาวนั่งอยู่ใต้เงาสนก่อนหน้าแล้วเช่นกัน
ริญ..เราอุทานออกมา พร้อมกับรีบวิ่งไป
ริญ. เราร้องเรียกหญิงสาวหันมามอง ด้วยความสงสัย
มีอะไรหรือเปล่าคะ เธอถาม
ขอโทษครับ ผมคิดว่าเป็นริญ
ไม่เป็นไรค่ะ
นั่งก่อนสิคะ หญิงสาวเอ่ยปากเชิญ

เรานั่งลง
คุณมาที่นี่บ่อยหรือคะ หญิงสาวถาม
ครับมาบ่อย มาทุกเย็นเลย และก็มานั่งตรงนี้ประจำด้วย เราตอบเธอ
อุ๊ย..!! หรือคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ
นี่แพรวคงเผลอไปนั่งทับที่ใครบางคนเข้าแล้วสิคะนี่ เธอพูด พร้อมกับขยับตัวจะลุกขึ้น
ไม่เป็นไรครับ คุณนั่งไปเถอะ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว
อ้าว..ทำไมรีบกลับล่ะคะ เพิ่งจะมาไม่ใช่เหรอ
นั่งคุยเป็นเพื่อนแพรวก่อนก็ได้
หรือว่ารังเกียจแพรวคะ เธอตัดพ้อ
ไม่ใช่หรอกครับ
พอดีผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานค้างอยู่ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ เราบอกกับเธอ
 แพรวมาเรียนอยู่ใ ม.นี้ค่ะเพิ่งจะปี 1
เป็นน้องใหม่ของที่นี่ เลยยังไม่คุ้นชินสถานที่
เธอพยายามจะชวนเราคุย

อ๋อเหรอครับ ผมชื่อทิว ทำงานเป็นเด็กเฝ้าหน้าร้านส่งของอยู่ละแวกนี้ล่ะครับ เราแนะนำตัวกับเธอ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณทิว
ถ้าไม่รังเกียจและมีโอกาสก็พาแพรวเที่ยวแถวนี้บ้างนะคะ เธอพยายามยื่นข้อเสนอ

ขอบคุณครับแต่ผมคงไม่สะดวกหรอกครับ
ผมต้องขอตัวกลับก่อนครับคุณแพรว ขอโทษด้วยครับ ว่าแล้วเราก็เดินจากมา
เราเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยไม่มีเป้าหมาย
เจอที่นั่งก็นั่ง
หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อ
จนกลับมาถึงที่พัก
ก็ล้มตัวลงนอน โดยที่น้ำท่าไม่ได้อาบ
เรานั่งคิดนั่งรำพันอยู่คนเดียว
ชีวิตเราออกจากบ้านมา หัวเดียวกระเทียมลีบมาโดยตลอด
จากสารคามมา
มาอาศัยอยู่กับน้าที่ขอนแก่นมาโตที่นี่ คุ้นชินอยู่ที่นี่ ยิ่งกว่าบ้านเกิดเสียอีก
มาทำงานอยู่ที่นี่จนได้พบกับริญ
และเราก็รักกัน
อนาคตของริญ เธอก้าวไปข้างหน้าทุกวินาที
แต่เราสิ หยุดอยู่กับที่
ขณะที่ริญเดินหน้า
เรากลับหยุดอยู่กับที่ซึ่งก็คือถอยหลัง
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป
นับวันเรากับริญยิ่งนับวันจะไกลห่าง
เราไม่ยอมแน่
เราไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น
เราจะไม่ให้มันเกิดขึ้น
แม้พ่อของริญจะให้เราตัดใจจากริญ
แต่สัญญาใจที่เราให้กับริญ
ความรักที่เราทั้งสองมีให้กัน
มันยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งใด
เราต้องคิดหาทางทำอะไรซักอย่าง
เพื่อที่จะขยับตัวออกจากจุดนี้
แล้วก้าวไปข้างหน้า
ค่อยเดินตามหลังริญไปห่างๆ
อย่างน้อยก็ให้มันอยู่ในระยะสายตา
ที่เราจะยังพอมองเห็นเธอ
และยืนตระโกนคุยกับเธอได้
ไม่ใช่ปล่อยช่องว่างให้มันห่างออกไปอย่างนี้โดยที่เราไม่คิดทำอะไรเลย
ไม่เช่นนั้น รักของเรากับริญคงต้องหลุดลอยไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ป่านนี้เธอจะทำอะไรน๊า..ริญ
เวลานี้เธอกำลังอยู่กับใครกันนะ
เธอจะคิดถึงทิวบ้างมั๊ย
สำหรับทิวคิดถึงริญจนใจจะขาดอยู่แล้ว





วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ12


พอกลับถึงโกดังที่พักซุกหัวนอน
เราก็จัดแจงปูเสื่อผืนเก่าลงกับพื้น
หยิบหมอนมาวาง นอนเอนหลัง
กะจะให้มันหลับ

แต่ทำไมวันนี้ดวงตาของเรามันหลับไม่ลง
ผุดลุกผุดนั่งอยู่ทั้งคืน กระวนกระวาย
กระส่ายกระสับ
หัวใจมันรุ่มร้อน
เหมือนมีไฟกองใหญ่มาสุมใจเรา

เสียงหัวใจมันสะอื้นไห้จนอกสั่น
ครุ่นคิด นึกย้อนเข็มนาฬิกา
ทบทวนอดีต
ตั้งแต่มาเจอเธอ
ไม่มีเลยซักวันที่เราจะขัดใจกัน
ไม่มีเลยซักวันที่เราจะงอนหรือง้อกัน

แต่ทุกวันของเรา
มีแต่กรุ่นไอรักที่หอมหวาน
มีแต่ความสุขทุกช่วงเวลานาที
ทุกนาทีที่มันผ่านมา
มันเต็มไปด้วยรอยอดีตรักสองเราที่แสนจะงดงาม
นี่คงเป็นสวรรค์ลิขิตให้เรามารักกัน

แล้วทำไมล่ะ
แล้วทำไมเมื่อให้เรามารักกัน
แล้วสวรรค์ต้องมาพรากรักเราอย่างไม่ใยดีเช่นนี้

เราเคร่งเครียด
นอนคิดไปเรื่อยจนเผลอหลับไปยันเช้า

พอได้สติก็ตื่นล้างหน้าอาบน้ำแปรงฟัน รีบไปเปิดร้าน จัดหน้าร้านตามปกติ
แต่หัวจิตหัวใจของเราวันนี้มันไปนั่งคอย
รอริญอยู่ที่สถานีรถไฟก่อนที่จะถึงเวลาแล้ว
หัวใจมันเรียกร้องอยากไปที่นั่น

แต่อีกส่วนลึกของหัวใจ
ก็อยากให้เวลาของวันนี้มันยืดยาวออกไป อย่าให้มีค่ำคืนนี้เลย
ริญจะได้ไม่ต้องจากเราไป

แต่ความจริง 
แม้มันจะทำให้ใครต่อใครเจ็บปวด
แม้เราไม่อยากยอมรับมัน
แต่มันก็คือความจริง
มันคือสิ่งที่เราจะต้องเผชิญอยู่ข้างหน้า

ไม่แน่
นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์และบททดสอบที่สวรรค์จะใช้ทดสอบความรักสองเรา
เราต้องเข้มแข็ง เราต้องอยู่ต่อไปให้ได้
เราต้องรับบททดสอบนี้มาทำ
และก้าวพ้นผ่านมันไปให้ได้

เราทำงานในวันนี้ด้วยกายเท่านั้น
หามีใจและความกระตือรือล้นไม่
มันเฉื่อยชา ไร้เรี่ยวแรง
ภายในใจห่อเหี่ยว
เหนื่อยท้อ
เหมือนหัวใจจะขาดรอนๆ
ในที่สุดเราก็ฝืนมันผ่านพ้นไปได้จนเลิกงาน
เราไม่รีรอที่จะรีบเก็บของเข้าร้าน
ปิดหน้าร้าน
รีบวิ่งกลับไปโกดัง
ไปอาบน้ำท่าจัดแจงตัวเองจนเสร็จสรรพ
ก็ออกเดินตรงตามแนวถนนรื่นรมย์ไปยังสถานีรถไฟขอนแก่น
ตั้งแต่เวลาได้เริ่มต้นเพียงทุ่มนึงเท่านั้น
พอไปถึงเราก็เดินตรงไปที่ชานชาลา
หาที่นั่ง มองซ้ายมองขวา
เห็นผู้คนเดินหิ้วกระเป๋า
ถือข้าวของจูงลูกจูงหลานเดิน เข้าเดินออก
ขึ้น-ลงไม่ขาดสาย

เดี๋ยวรถไฟวิ่งเข้าเทียบชานชาลา
เดี๋ยวก็วิ่งออกจากชานชาลา
เดี๋ยวเสียงระฆังสัญญาณปล่อยรถดังครั้งแล้วครั้งเล่า
เรานั่งสังเกตุดูจนเผลอลืมตัว

สักครู่ก็ได้ยินเสียง
พร้อมรู้สึกเหมือนมีมือมาแตะที่่หัวไหล่
ทิวจ้ะริญมาแล้ว เราหันไปมอง

ริญ เราอุทานออกมา
ริญขอพ่อออกมาก่อนเวลานิดหน่อย
นี่เพียงทุ่มเศษเท่านั้นเอง
เราจะไปไหนกันดีจ้ะทิว ริญถาม

งั้นเราไปเดินตลาดเดินห้างแถวนี้ก่อนดีไหมริญ เราเสนอ
ก็ดีจ้า เธอตอบ
แล้วเราก็เรียกสามล้อหน้าสถานีปั่นพาเราไปที่ตลาดเก่ากลางเมืองขอแก่น
เราสองเข้าไปเดินห้าง แฟรี่ทาวน์ ห้างเซ็นโทซ่า ซื้อข้าวของ
ให้ริญไปหลายอย่าง

ยังพอมีเวลาเหลือ เราก็ชวนกันไปไหว้พระที่วัดศรีจันท์ ที่อยู่ใกล้ๆ
แล้วก็นั่งสามล้อไปไหว้พระธาตุขามแก่น ซื้ออาหารไปนั่งกินกันที่ริมบึงแก่นนคร
จนเวลาใกล้สามทุ่ม

เราสองคนก็เรียกสามล้อพากลับสถานีรถไฟ
พอถึงสถานนีเราสองคนก็ได้เดินเกี่ยวแขน
และเดินลอดขอนแก่นที่อยู่หน้าสถานีรถไฟนั้น
ก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบนของชานชาลา

ริญมีความสุขมากทิว ริญพูดขึ้นมา
ทิวก็เช่นกัน ริญ เราตอบกลับ

ทิวจ้ะ
ทิวอย่าลืมแวะไปที่ริมบึงสีฐาน
ที่ใต้ต้นสนคู่นั้นนะจ้ะ
ริญคงคิดถึงมันมาก
เพราะริญเคยวิ่งเล่นนั่งเล่นอยู่ที่นั่น
ตั้งแต่ริญเด็กๆ
เวลาโกรธงอนพ่อแม่ริญก็หนีมานั่งริมบึงนี้
จนมาพบกับทิว
เราก็ใช้สถานที่ตรงนี้เป็นที่สานก่อรักเรา
ริญคงคิดถึงมันมาก
ริญไม่เคยจากมันไปนานๆซักที ริญพร่ำอาลัย

ทิวรับปากริญว่าทุกเย็นหลังเลิกงาน
ทิวจะมานั่งที่นี่ทุกวัน
ให้เหมือนกับตอนที่ริญยังอยู่ที่นี่
ทิวสัญญาจ้ะ

สักครู่เดียวพ่อกับแม่ริญ
ก็เดินขึ้นมา
เอ้า..อยู่ที่นี่กันเอง พี่ริญพูด
เรารีบลุกขึ้นสวัสดียกมือไหว้พ่อกับแม่ริญ
และช่วยเดินไปถือข้าวของเครื่องใช้ของริญ
มาวางไว้ริมชานชาลา
บริเวณที่รถไฟจะเข้าเทียบท่า
สักครู่
ทางสถานีก็ประกาศ
ว่าอีกห้านาทีขบวนรถไฟดีเซลรางเที่ยวล่อง
หนองคาย-กรุงเทพกำลังจะวิ่งเข้ามาเทียบท่า
ขอให้ผู้โดยสารออกจากบริเวณแนวเส้นเพื่อความปลอดภัย

ชั่วอึดใจเดียวก็มองเห็นไฟพุ่งสว่างจ้าเข้ามาพร้อมเสียงหวูดแตร
ที่ดังลั่นพร้อมกับเสียงประกาศจากสถานีว่า
รถไฟเที่ยวล่องหนองคาย-กรุงเทพ ได้เข้าเทียบท่าชานชาลาแล้ว
พ่อริญและแม่รีบลุกเดินถือกระเป๋าก้าวขาขึ้นบนรถ
เรารีบช่วยริญถือกระเป๋า
เดินขึ้นไปส่ง
แล้วก็รีบลงจากรถมายืนรอริญอยู่ชานชาลา
สักครู่ริญก็เปิดหน้าต่างยื่นชะโงกหน้าออกมา
ริญต้องไปแล้วนะทิวพร้อมยื่นมืออกมานอกรถ
เรายื่นมือไปคว้ามือเธอ

สักครู่เสียงระฆังสัญญาณปล่อยรถก็ดังขึ้นพร้อมเสียงหวูดแตร
ทันที่ที่ล้อขยับหมุน ขบลางเหล็กดังกึกกักๆๆ
เราสองก็รู้ทันทีว่าเวลาจากกันมาถึงแล้ว หมดเวลาเราแล้ว
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสถานี
เราก็วิ่งตามจนรถพ้นสถานีและยืนมองเห็นริญชะเง้อหน้าโบกมือลาอยู่ไกล
จนขบวนรถเลือนหายไปลับตา
พร้อมกับหัวเข่าของเราก็อ่อนแรงนั่งทรุดลงกับพื้น
อยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินย้อนกลับมายังสถานีด้วยความอาลัยรัก