วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นักตอแหล



นักตอแหล

พวกเป็นนัก  ทั้งหลาย  ฟังไว้หน่อย
จะนักน้อย  นักใหญ่  ใช่มุสา
พวกเป็นนัก  ที่เรา  เคยเห็นมา
อยากบอกว่า  พวกนัก  นักจริงจริง

นักการเมือง  นักข่าว ยิ่งฉาวโฉ่
นักคุยโว  ชอบโม้  ไม่หยุดนิ่ง
นักค้าความ  รวยได้  เป็นเรื่องจริง
มีหลายสิ่ง  สรรเล่า  ให้เจ้าฟัง

เป็นนักโน่น  นักนี่  หาดีไม่
นักใส่ไฟ  น่าได้  เอาไปฝัง
นักปกครอง  มองตัว  ว่าใหญ่จัง
ทำสังคม  เป็นสังคัง  ชั่งจังไร

นักวิจารณ์  ฟุ้งซ่าน  วิจารณ์ทั่ว
เหาบนหัว  ของตัว  หารู้ไม่
วิจารณ์เขา  เขาว่า  ท่าจะตาย
วิจารณ์ได้  แต่ไม่  ยอมรับฟัง

มีมากมาย  หลายนัก  ไม่อยากบอก
เห็นสำรอก  ความเขลา  เฝ้าคลุ้มคลั่ง
รู้ไม่จริง  ควรนิ่ง  และรับฟัง
หยุดเสียบ้าง  ปากมาก  ขี้กลากคัน

นักตอแหล  ไม่ต้อง  มีคนสอน
พูดปลิ้นปล้อน  กะล่อน ไม่เคยหวั่น
มึงพูดดำ  เป็นขาว  แต่ละวัน
สารพัน  สรรอ้าง  สร้างวาจา

พูดยกหาง คนนั้น  คนนี้บ้าง
พูดเพื่อสร้าง  ไมตรี  เป็นขี้ข้า
พูดถากถาง  ถุยถ่ม  จมบาทา
พูดออกมา  หาค่า  มิมีเลย








วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รอวันเธอเจ็บ


รอวันเธอเจ็บ

เหมือนมีมีด  กรีดเนื้อ  ทาเกลือซ้ำ
เพราะเชื่อคำ  เธอบอก  หลอกมุสา
ใช้ลมลิ้น  ปลิ้นปลอก  สำรอกมา
เปล่งวาจา  เหมือนเช่น  ถ่มน้ำลาย

ไม่มีความ  จริงใจ  ในสัจจะ
ไม่ลดละ  คิดมา  น่าใจหาย
เธอปลิ้นปล้อน  หลอนหลอก  หัวใจชาย
เธอเชือดใจ  ผู้ชาย  ด้วยลิ้นลวง

หลายร้อยชาย  คงตาย  ด้วยมือเธอ
คงพร่ำเพ้อ  เพราะเธอ  อย่างใหญ่หลวง
เธอมุสา  หน้าตาย  เปลี่ยนชายควง
หลอกให้ทรวง  เจ็บช้ำ  กล้ำน้ำตา

คงสักวัน  ที่เธอ นั่งร้องไห้
คงสักวัน  ที่ฉัน  หัวเราะร่า
คงสักวัน  ที่เธอ ร่วงโรยรา
คงสักวัน  น้ำตา  เธอหลั่งริน

คงสักวัน  สำนึก  เธอคงบอก
คงสักวัน  มีคน  คอยติฉิน
คงสักวัน  ที่เธอ  มีมณฑิล
คงสักวัน  คงนอน  กินน้ำตา

ฉันจะรอ  รอดู  เธอมีทุกข์
ฉันจะสุข  ยิ้มย่อง  หัวเราะร่า
ฉันจะกู่  จะร้อง  ก้องโลกา
เปล่งวาจา  ว่าฉัน  นั้นสะใจ

เมื่อวัยร่วง  แถมทรวง  ก็ชอกช้ำ
คงมีคน  เหยียบย่ำ  ให้ร่ำไห้
จะมีใคร  มีเขา  มาใส่ใจ
ด้วยบาปเวร  สร้างไว้  ไม่เคยลืม



คนอาภัพ - สายัณห์ สัญญา ขับร้อง




วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แรงรัก


แรงรัก

ไม่ว่าใคร  ถ้าใจ  มีความรัก
เหมือนจมปรัก  อยู่ใน  ห้วงเหวลึก
ทรมาน  ทั้งวัน  เช้ายันดึก
เฝ้าแต่นึก ตรึกตรอง ให้หมองใจ
เวลาเหงา เปลี่ยวเปล่า  แสนอ้างว้าง
จะลบล้าง  อย่างไร  ให้หายได้
เฝ้าแต่เพ้อ  อาวรณ์ ถอนฤทัย
ข่มจิตใจ ไม่ได้ ไห้โศกา
ยามที่เธอ อยู่ใกล้  ใจร่ำร้อง
อยากกอดน้อง เชยชิด  เสน่หา
ไม่อยากยิน  ถ้อยคำ  ที่กล่าวลา
ไม่อยากเห็น  น้ำตา  เอ่อท่วมใจ
อยากจะหยุด  เวลา  เสียตรงนี้
ไม่อยากมี  พรุ่งนี้  ถ้าเป็นได้
อยากให้ใจ  สองเรา  อยู่ใกล้ใจ
ไม่อยากไกล แรมร้าง ห่างอนงค์
โอ้รักเอ๋ย  ใยเลย  เป็นเช่นนี้
ไม่เคยมี  สมหวัง  ดังประสงค์
ไม่เคยเจอ  รักแท้  ที่มั่นคง
คิดแล้วปลง ใจเศร้า  เหงาอุรา







วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

บทกวีต้องมีฉันทลักษณ์


บทกวีต้องมีฉันทลักษณ์

บทกวี  ไม่มี  ฉันทลักษณ์
จะรู้จัก  แบ่งแยก  อย่างไรหรือ
กาพย์โคลงฉันท์  ร่ายยาว  ที่โลกลือ
จนมีชื่อ  นับถือ  เป็นร้อยกรอง

บทร้อยกรอง ต้องมี  ฉันทลักษณ์
ควรตระหนัก จำหลัก วรรคหนึ่งสอง
มีแบบแผน ตามอย่าง  สร้างครรลอง
เขาจึงเรียก  ร้อยกรอง บทกวี

งานเขียนใด  ไม่มี  ฉันทลักษณ์
จะเรียกหลัก  ร้อยกรอง  ก็ใช่ที่
เป็นความเรียง  ร้อยแก้ว  มันเข้าที
อย่าบัดสี  เรียกมัน  ว่าร้อยกรอง

กลอนสุภาพ  กลอนแปด  กลอนเดียวกัน
กาย์ยานี เขานั้น  ไม่เป็นสอง
วรรคหน้าห้า วรรคหลังหก เป็นทำนอง
มีคล้องจอง สดับ รับรองส่ง

กาพย์ฉบัง  สิบหก  ยกมาอ้าง
เขาสรรค์สร้าง แบบแผน ดังประสงค์
กาพย์หนึ่งบท สิบหกคำ ตามจำนง
อย่าเข้าพง บุกป่า ท้าหลักการ

ต่อไปนี้  ไม่มี  กวีแก้ว
หมดสิ้นแล้ว สืบแนว  คนหน้าด้าน
สร้างงานศิลป์ ไม่มี ซึ่งหลักการ
ไอ้สันดาน  ยังเสือก  เรียกกวี

เป็นร้อยแก้ว  ความเรียง  หรือเรื่องสั้น
ก็เรียกงาน  ของเอง ออกไปซี
แต่อย่าเสือก  เรียกว่า  งานกวี
เป็นราคี  ด่างพร้อย ข้อยขอเตือน

อันงานศิลป์ สร้างได้  ถ้าใจรัก
ให้ตระหนัก ใช่ฉัน หั่นเฉือดเฉือน
แค่ไม่อยาก  ให้ใคร  ไปบิดเบือน
อย่าเลอะเลือน  ไร้ค่า สาระยำ



มะเขือเผา


คนย่าง


มะเขือเผา


อาทิตย์ตกน้ำ


กล้วยปิ้ง


มะพร้าวน้ำหอมเผา

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ระเบียบหรือโซ่ตรวน


 พันธนาการทางสังคม

โลกนี้ มันน่าอยู่นะครับ เราลองมองไปรอบข้างเราดู 
มันมีที่ที่สวยงาม มีสารพัดอย่าง ที่มันชวนให้หลงไหล ชวนให้น่าอยู่
มนุษย์เราต่างหากที่ทำให้โลกนี้ไม่น่าอยู่
มนุษย์เกิดมาก็อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง
 ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง
มนุษย์ก็อยากเป็นเจ้าของ

มนุษย์สร้างกรอบ สร้างกฎ เพื่อมาจำกัด บังคับมนุษย์ ด้วยกันเอง 
จนมนุษย์เราสูญเสียธรรมชาติ
สูญเสียความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด 

เราถูกกฎ ถูกกรอบ แบ่งแยกว่าเรา ต่างกัน เราแบ่งชนชั้นกัน 
โดยเริ่มจากสร้างกฎมาแบ่งแยกชั้นชน
สร้างเงิน สร้างตำแหน่งทางสังคมขึ้นมา แบ่งแยก เราออกจากกัน

ทั้งที่โดยธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น เกิดมามีความต้องการทางธรรมชาติเหมือนๆกัน 
เราต้องการอาหาร เราต้องการความรัก เราต้องการความอบอุ่น เราต้องการเพื่อน  เราต้องการสืบพันธุ์ เราต้องการขับถ่าย เราต้องการพักผ่อน เราต้องการอิสระภาพทางสังคม ทางความคิด

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานทางธรรมชาติมนุษย์ทุกคนที่เกิดมา
แต่สิ่งเหล่านี้ ถูกกฎ ถูกกรอบ ที่มนุษย์ด้วยกันเองที่แข็งแรงกว่า พวกมากกว่า 
สร้างมันขึ้นมาทำลายลงไป

ชีวิตมนุษย์เราเวลานี้ตั้งแต่ลืมตาอ้าปาก ก็ถูกกฎเหล็กเหล่านี้พันธนาการ
 ตั้งแต่เกิด จนถึงวันตาย
เราไม่มีอิสระว่าเราจะใช้ชีวิตเช่นไร เราไม่มีอิสระที่จะเลือกรัก ชอบ อยู่กินกับใครก็ได้ตามใจเรา

เราถูกกติกาทางสังคมตีกรอบเอาไว้เสียสิ้นว่าเราจะอยู่กิน รักชอบ ใครได้บ้าง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่หนึ่งชีวิตเรา จะรักชอบอยู่แต่ใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว 

วันหนึ่งถ้าเราเจอคนที่ใช่ แต่กฎของสังคมก็เป็นกำแพงมากั้นเรา
เขาอ้างว่า กฎนี้ ช่วยให้คนเป็นระเบียบ เป็นแบบแผน ทำให้คนต่างจากสัตว์ แต่มันก็ทำให้เราถูกกักกันไม่ต่างอะไรจากสัตว์ หรือแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ

เราไม่เคยได้บงการชีวิตของเราเองด้วยซ้ำ
ถ้าเราแต่งงาน จะกิน จะฟังเพลง จะดูหนัง จะเปิดโทรทัศน์ 
จะเที่ยว เราก็ต้องถามคนรอบข้างเราก่อน
ทำไมมนุษย์ ไม่แสวงหาความสุขใส่ตัว ในช่วงเวลาที่มีชีวิตที่แสนสั้นนี้

มนุษย์ใช้เวลาในการเติบโตมากมายหลายปี กว่าที่เราจะรับผิดชอบตัวเองได้ บางคน 30 ปีแล้วก็ยังหาตัวเองไม่เจอ เพราะมัวติดอยู่กับ การดูแลจากพ่อแม่ จนทำอะไรไม่ได้ และสูญเสียความสามารถในการเข้าสังคมไป ครั้นพอจะรับผิดชอบ หรือเห็นทาง 
ร่างกายเราก็แก่หง่อม หมดเวลาเสียแล้ว

หลายคนอยากบินไปเหมือนนก เร่ร่อน โผผิน บินไป ทุกที่ทุกทางที่อยากจะไป ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า กับเวลาที่มีอยู่ ตักตวงทุกความสุขใส่ตัว ที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ให้เต็มที่ ก่อนจะหลับตาลาโลกไป

อยากน้อยเราก็สามารถพูดได้ว่า เกิดมาชาตินี้ ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว และทิ้งความทรงจำดีๆไว้บนโลกที่สวยงามใบนี้ ให้คนรุ่นต่อไป ได้เดินตามอย่างเราบ้าง ก็เท่านั้น ก่อนลาจากกันไป


เรามีสิ่งที่ดีสวยงามอยู่ข้างตัวแล้ว จงมองหา และอยู่กับมันอย่างมีความสุข




เสรีภาพในการดำเนินชีวิตย่อมเป็นของเราและเราควรกำหนดเอง


 ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีแบบแผนขั้นตอนที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะตัวแล้ว


ธรรมชาติสร้างกฎเกณฑ์มาให้เรามากพอแล้ว ทำไมเราต้องสร้างกฎอะไรขึ้นมาอีกมากมาย


มีที่มากมายให้เราหาความสุข


สงบเงียบเรียบง่าย ตายตามเวลา


อะไรกั้นเราไว้

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความในใจ



มิตรทั้งหลาย

เวลาผมหยิบปากกาขึ้นมา เขียนกลอน เขียนเพลง เขียนบทวิเคราะห์ หรืออื่นๆ
ผมไม่ได้เขียน เพราะผมอยากจะเป็นนักเขียน ไม่ได้เขียนเพราะอยากเป็นนักกวี ไม่ได้เขียนเพราะอยากเป็นนักวิเคราะห์ หรือนักแต่งเพลงแต่อย่างใด

ผมเขียนเพราะผมต้องการะบายสิ่งที่ผมมีอยู่ในใจ มีอยู่ในสมอง ระบายออกมาทางงานเขียนรูปแบบต่างๆ ผมเขียนจากสิ่งที่ผมรู้ ผมเห็น และผมกำลังคิด มันเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เราได้ไปโน่นมานี่ พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ทำให้เราได้รู้ได้เห็น

และบางครั้งมันก็เกิดจากจินตนาการของผม เป็นจินตนาการ ต่อยอดจากสิ่งที่เห็น คือสมองเราคิดต่อจากสิ่งที่เราเห็น บางครั้งเราก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นอารมณ์ช่วงเวลานั้นๆจริงที่เราบันทึกเอาไว้

เรารู้ว่าบางส่วนบางสิ่งบางถ้อยคำ มันไม่สมบูรณ์ แต่ผมก็ไม่กลับไปปรับไปแก้ตรงนั้น เพราะมันเป็นคนละอารมณ์กัน ถ้าเราแก้ มันก็จะเขวไปตามอารมณ์ใหม่

เช่นเดียวกันจะให้ผมนั่งปั้นอารมณ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับไปเขียนให้เมือนเก่าผมก็ทำไม่ได้ เพราะมันผ่านมาแล้ว สิ่งที่ผมคิดเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะผ่านไป ถ้าไม่ได้บันทึกไว้ มันก็จะผ่านไปเปล่าๆ
นี่คือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมนำมาเขียนมาบันทึกไว้

ผมโชคดีตรงที่สวรรค์ให้พรมา หรือพรสวรรค์ พรสวรรค์คือสิ่งที่เรามีอยู่และเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้เรียนรู้มาโดยตรง มันเกิดขึ้นเอง เช่นการเขียนบทกวี เรื่องราว บรรยายภาพที่เราเห็นในแบบของเรา มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้หรอกว่ามันคืองานเขียนงานประพันธ์แบบไหน

แต่เมื่อเวลาผ่านมาเรามีโอกาสได้เรียนรู้ จึงนำงานนั้นมาดูเปรียบเทียบกันว่าที่แท้งานที่เราเขียนเป็นงานประเภทไหน เราจึงแยกงานประพันธ์แต่ละประเภทออกได้ชัดเจน ว่าอย่างไหนคืออะไร

ดังนั้นทุกเรื่องราวที่ผมเขียนส่วนใหญ่มันก็เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตของผมนี่เอง มีส่วนที่เป็นชีวิตจริงเป็นหลัก
มีสิ่งที่เห็นมาหรือประสบการณ์ มีความคิดเห็น มีจินตนาการ มีความต้องการแฝงอยู่ในนั้น

ผมไม่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้จากมัน แต่ผมไม่อยากให้มันผ่านไปโดยที่ไม่มีการเก็บบันทึกเอาไว้ และผมไม่สนใจว่าใครจะเรียกเราว่าอะไร เพียงแต่เรารู้ตัวเราเองว่า เราทำอะไร เท่านั้นก็พอ





วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แก้ผัวไม่อยู่บ้าน








นางแพน แต่งงานอยู่กินกับนายดีมาหลายปี จนมีลูกเต้าด้วยกัน 3 คน

ระยะหลังนางแพนสังเกตว่า นายดีสามีตัวเองเปลี่ยนไป

เลิกงานมา ก็ชอบแต่งตัวหนีออกจากบ้านไปเที่ยวจนดึกดื่น

กลับเช้าก็มี หรือบางครั้งก็ไม่กลับเลยก็มี

จนนางแพนคิดว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ สามีของตนคงไปมีเมียน้อยเป็นแน่

จึงไปปรึกษาเพื่อน ที่ครั้งหนึ่งครอบครัวเขาก็เคยมีสภาพอย่างนี้มาก่อน

และกลับมารักกันดังเดิมได้


เพื่อนของนางแพน

แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อ ที่วัดที่เธอเคยไปมาก่อน

นางแพนได้ฟังดังนั้น

วันรุ่งขึ้นนางแพนจึงได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อที่วัด

ตามที่เพื่อนแนะนำมา

เมื่อไปถึงนางแพนยังไม่ทันได้เล่าความขานไขแต่อย่างใด

หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า

ปัญหาสามีหนีออกจากบ้านใช่ไหมโยม หลวงพ่อถาม

นางแพนตอบ เจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านทราบได้ยังไงคะ


ปัญหาผัวๆเมียๆเป็นปัญหาโลกแตกน่ะโยม

จากนั้นนางแพนก็พูดขึ้นว่า ดิฉันอยากจะมาขอของดีจากท่านเจ้าค่ะ

ได้ข่าวว่าท่านมีของดีช่วยให้ครอบครัวแตกแยกกลับมาคืนดีกันมากแล้ว

หลวงพ่อช่วยโปรดดิฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ นางแพนแจ้งความประสงค์



จากนั้นหลวงพ่อก็สั่งให้เด็กวัดนำขวดไปเปิดน้ำจากก๊อกมาให้นางแพนขวดนึง

พร้อมกับพูดว่า

นี่แหละคือของดีที่อาตมามี และแจกจ่ายให้ญาติโยมที่มีปัญหาเดียวกันนี้มามากแล้ว หลวงพ่อกล่าว


แต่นี่มันน้ำก๊อกนี่เจ้าคะหลวงพ่อ นางแพนลังเล

มันก็ใช่ถ้าโยมคิดอย่างนั้น

ก็ให้โยมคิดเสียว่านี่เป็นนำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากอาตมา

ถ้าโยมคิดว่าเป็นน้ำก๊อกมันก็อาจไม่ศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อสำทับลงไป


แล้วใช้ยังไงล่ะเจ้าคะท่าน นางแพนถาม

ก็ไม่ยากหรอกโยม

โยมรู้ใช่ไหมว่าสามีโยมจะกลับบ้านเวลาไหน หลวงพ่อถาม

รู้เจ้าค่ะนางแพนตอบ

ก็ดีแล้ว

ให้โยมเทน้ำนี้อมไว้ในปากไม่ว่าสามีของโยมจะพูดอะไร

โยมก็ห้ามกลืนน้ำนี้เด็ดขาดมิเช่นนั้นจะไม่ศักดิ์สิทธิ์

ให้โยมอมน้ำในขวดนี้ทุกครั้งที่สามีกลับมา และอยู่บ้าน

เวลาสามีพูดอะไรก็ให้ทำหน้ายิ้มๆเอาไว้ก็พอ

น้ำขวดนี้คงพอใช้ได้ซักอาทิตย์นึง

พอพ้นอาทิตย์นึงไปแล้วโยมจะเห็นผล

แล้วค่อยพาสามีมาหาอาตมา หลวงพ่อสั่งกำชับ


เมื่อเข้าใจแล้วนางแพนก็กราบนมัสการลาหลวงพ่อกลับบ้าน

พอได้เวลาสามีจะกลับบ้าน นางแพนก็เทน้ำออกมาอมไว้ในปากตามที่หลวงพ่อสั่งทุกอย่าง

พอสามีก้าวขาขึ้นบ้านนางแพนก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มตามหลวงพ่อแนะนำไว้

แล้วจัดแจงข้าวปลา หาน้ำหาท่ามาต้อนรับสามีทุกวัน

ฝ่ายนายดีผู้สามีก้เห็นความเปลี่ยนแปลงของภรรยาตนเองดีขึ้น

ไม่ด่ากราดเหมือนทุกครั้งที่เห็นหน้า

ไม่ชวนทะเลาะไม่ชวนหาเรื่องเหมือนเช่นทุกวัน

นายดีเองก็พอใจที่ภรรยาของตนเองกลับมาเหมือนคนเดิมที่เคยรักกันมา

เขารู้สึกว่าได้ภรรยาคนเก่าของตัวเองกลับมาอีกครั้ง

นายดีก็ไม่ออกไปเที่ยวนอกบ้าน

จนแม้มีเพื่อนมาชวนถึงบ้านนายดีก็ไม่ยอมจากไป

นางแพนทำเช่นนี้จนครบเจ็ดวัน

สายสัมพันธ์ของคนทั้งสองเริ่มกลับมาแนบแน่นอีกครั้ง

ลูกเต้าทั้งสามคนต่างมีความสุขที่เห็นพ่อแม่ไม่ทะเลาะกัน

ทำให้บ้านเป็นวิมาน เป็นสวรรค์ ไปที่ที่อบอุ่นปลอดภัยที่สุด

ลูกทั้งสามคนก็ได้เข้าไปกราบแม่พ่อเพื่อขอบคุณที่ทำให้ครอบครัวมีความสุข


เมื่ออยู่สองต่อสองนางแพนก็บอกสามีว่าต้องกราบขอบพระคุณน้ำมนต์หลวงพ่อ

ที่ทำให้ครอบครัวเรากลับมามีความสุขอีกครั้ง

และนัดสามีจะพาไปกราบหลวงพ่อในวันรุ่งขึ้น


รุ่งขึ้นตามนัดนางแพนและครอบครัวก็พากันไปกราบนมัสการหลวงพ่อที่วัด

เมื่อเข้าไปถึงนางแพนก็ก้มกราบหลวงพ่อแล้วพูดขึ้นว่า

ดิฉันกราบขอบพระคุณท่านเจ้าค่ะที่ให้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์กับดิฉันไปจนมีวันนี้


หลวงพ่อก็กล่าวขึ้นว่า โยมต้องขอบคุณตัวโยมเอง ที่มีความอดทน มีความเพียร

รู้จักสงบปากสงบคำของตัวเองได้ ตั้ง 7 วันจนทำให้ทุกอย่างกลับมาดีขึ้น

น้ำนั้นเป็นเพียงน้ำก๊อกอย่างโยมว่านั่นแหละ แต่เวลาที่โยมอมไว้ในปาก และที่อาตมา

ไม่ให้โยมกลืนหรือคลายออกก็เพราะเพื่อต้องการสงบปากสงบคำของโยมนั่นเอง

เมื่อครอบครัวของโยมกลับมาเหมือนเดิมแล้วคราวนี้ก็อยู่ที่พวกโยมนั่นเองว่าจะรักษา

ความสุขนี้เอาไว้หรือว่าจะทำลายมันลงก็อยู่ที่โยมแล้วล่ะ


นางแพนได้ฟังจึงก้มลงกราบเพื่อขอบคุณหลวงพ่อ ที่ใช้วิธีชี้ทางให้เธอ

ได้กลับมาสู่สติได้อีกครั้งและเธอสัญญาว่าจะไม่ให้ความเลวร้ายจากปากเธอกลับมาทำลายครอบครัวของเธออีกแล้ว


กังวาล ทองเนตร


วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มนุษย์


มนุษย์ 



สารพัน แต่ละวัน ชีวิตคน

สาละวน วุ่นวาย น่าหน่ายนัก

สารพัด สารเพ เรื่องเบาหนัก

เรื่องอกหัก หลักร้าว หรือเหงาใจ

สารพัน ปัญหา มารุมเร้า

สารพัด เรื่องเศร้า เราหมองไหม้

สารพัน ปัญหา ถาโถมใจ

เหมือนดั่งไฟ สุมไหม้ ในใจเรา

มนุษย์เรา เกิดมา ก็เท่านี้

สุขก็มี ทุกข์ก็มี คดีเก่า

มีชีวิต มีปัญหา มานานเนา

อย่าเก็บเอา มาเป็น เรื่องบั่นใจ

ไม่มีใคร ไม่เคย มีปัญหา

ทุกชีวิต เกิดมา หาเลี่ยงได้

จะรวยล้น จนกรอบ สักเท่าใด

อยู่ค้ำฟ้า ไปได้ หาไม่มี



สิ้นหวัง สายัณห์ สัญญา ขับร้อง น้องก้องทำ



วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความเหมือนที่แตกต่าง




ท่านทั้งหลาย ในชีวิตของผม ได้มีโอกาสพบปะ รู้จักกับคนมามากหน้าหลายตา
ได้เห็นผู้คนมากมายหลากหลายอาชีพ มีความเป็นอยู่แตกต่างกันไปตามฐานะทางสังคม


  • ครอบครัวพ่อค้าที่มีกิจการไม่ใหญ่นัก

วันหนึ่ง ขณะที่พ่อกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดของเพื่อจะไปส่งลูกค้า

ลูกชายก็กลับจากเลิกเรียน

สวัสดีครับป๊าลูกชายสวัสดีผู้เป็นพ่อ

แล้วก็พูดต่อว่า วันนี้ผมเห็นรองเท้ายี่ห้อดัง ออกรุ่นใหม่ สวยมาก

ผมอยากได้ ป๊าซื้อให้หน่อยนะ

อะไรอาตี๋ อั๊วเพิ่งจะซื้อให้ลืีอไม่ใช่หรือ มันยังไม่ขาดก็ใส่ไปก่อนซี้ (พ่อบอก )

ก็ใช่ครับป๊า แต่เพื่อนที่โรงเรียน เขามีรุ่นใหม่ใส่กันทั้งนั้น ผมไม่มีอยู่คนเดียว อายเขา
ป๊าต้องซื้อให้นะ 3 พันเอง ( ลูกบอก )

เออน่า วันนี้อั๊วยุ่งๆอยู่เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน เดี๋ยวอั๊วซื้อให้

แต่ลื๊อต้องมาช่วยอั๊วจัดของไปส่งลูกค้าก่อน


( พ่อบอกพร้อมให้รอพรุ่งนี้ )



  • ครอบครัวข้าราชการระดับล่าง
หลังจากพ่อเลิกงานกลับบ้านกำลังจะกินข้าวกัน
ลูกชายก็พูดขึ้นว่า
พ่อครับ

รองเท้านักเรียนของผมที่พ่อซื้อให้มันขาดจนนิ้วผมโผล่ออกมาให้เห็นแล้วนะครับพ่อ

ผมโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อทุกวัน ผมอายเพื่อนนะครับพ่อ

พ่อช่วยซื้อให้ผมใหม่ด้วยนะครับ (ลูกชายร้องขอ )

ลูกเอ๊ย

พ่อเห็น พ่อเห็นตั้งแต่นิ้วก้อยของลูกมันโผล่ออกมาทีละข้าง แล้วก็นิวนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ โผล่ออกมาพ่อก็เห็นมาตลอด

ลูกรู้ไหมว่านิ้วลุกที่โผล่ออกมา มันเหมือนมีดกรีดแทงหัวใจพ่อ

นิ้วลุกโผล่ออกมานิ้วนึง พ่อก็เจ็บแป๊บที่หัวใจครั้งนึง

สิบนิ้วของลูกที่โผล่ออกมา ทำให้น้ำตาพ่อต้องไหลออกมาถึงสิบครั้ง

พ่อเห็นใจ และเข้าใจลูก แต่พ่อเป็นข้าราชการตอนนี้ยังกลางเดือนอยู่เลย

พ่อตั้งใจว่า สิ้นเดือนนี้เงินเดือนพ่อออก พ่อจะซื้อให้นะลูกนะ

( ครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อยนัดลูกสิ้นเดือน )

รองเท้าลูกข้าราชการชั้นผู้น้อย


ครอบครัวชาวนา


ขณะที่พ่อกับแม่กำลังง่วนอยู่กับงานนา

ลูกชายที่เพิ่งเลิกเรียนก็วิ่งเข้าไปหาพ่อพร้อมพูดกับพ่อว่า

พ่อครับ

วันนี้ระหว่างทางเดินไปโรงเรียนผมเหยียบหนามจนเท้าผมเลือดไหล

ผมเจ็บมาก นี่ถ้าผมมีรองเท้าใส่ก็คงจะดีนะพ่อ

เพื่อนๆผมที่โรงเรียนเขามีรองเท้าใส่กันทุกคน

ผมอายเพื่อนที่โดนเพื่อนล้อทุกวัน

ผมอยากมีรองเท้าใส่กับเขาบ้าง

พ่อช่วยซื้อรองเท้าให้ผมสักคู่ได้ไหมครับ

ผมอยากมีรองเท้าใส่ไปโรงเรียนนะครับพ่อ ( ลุกชายชาวนาร้องขอจากพ่อ )


ลูกรัก

ใจของพ่อมันเจ็บปวดยิ่งนักเมื่อได้ยินลูกพูดว่าฝ่าเท้าน้อยๆของลูกโดนหนามทิ่มแทง

ทุกครั้งที่พ่อเห็นลูกของพ่อไปโรงเรียนพ่อมองดูด้วยความขมขื่นเจ็บปวดหัวใจ

วันไหนที่แดดจ้าๆดินที่เป็นทรายก็ร้อนระอุ

เท้าน้อยๆของเจ้าก็คงเหยียบย่ำลงไปที่ทรายร้อนๆนั้น

วันไหนฝนตกเท้าน้อยของเจ้าก็คงย่ำอยู่กับขี้โคลน

ย่ำหัวขี้แป้ จนเฉอะแฉะ และพ่อก็กลัวลูกของพ่อไม่สบาย

กลัวติดเชื้อโรค ทั้งฉี่หนู โรคพยาธิ ชอนไชเข้าไปในตัวลูก

เอางี้นะลูกนะ

ลูกมองดูข้าวในนาเรา

ลูกเห็นไหม ปีนี้ข้าวในนาเรามันเขียวขจี งอกงามดีเหลือเกิน

พ่อคิดว่าขายข้าวได้ ปีนี้พ่อจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่

ให้ลูกของพ่อได้ใส่อย่างแน่นอน

รอปีใหม่นะลูกนะ
(ครอบครัวชาวนานัดลูกปีใหม่ )


ลูกชาวนา




เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จสรรพ

ผู้เป็นพ่อบอกลูกก่อนไปโรงเรียนว่า

ลูกรักวันนี้พ่อจะนำข้าวของเราไปขายที่โรงสีในเมือง

เดี๋ยวลูกเลิกเรียนกลับมาวันนี้ลูกของพ่อจะได้เห็นรองเท้าคู่ใหม่ของลูกนะลูกนะ

ผู้เป็นพ่อบอกลูกด้วยความมั่นใจ


ส่วนผู้เป็นลูกก็แสนดีใจจะได้ใส่รองเท้ากับเขาเสียที
ไปถึงโรงเรียนลูกชาวชาวนาก็พร่ำว่าวันนี้พ่อจะซื้อรองเท้ามาให้
พรุ่งนี้ให้เพื่อนคอยดู เขาจะใส่รองเท้าใหม่มาอวดเพื่อนมาให้เพื่อนได้ดูกัน และเขาจะไม่เดินเท้าเปล่ามาโรงเรียนอีกแล้ว





พอได้เวลาเลิกเรียนลูกชายชาวนาก็รีบวิ่งกลับบ้านด้วยความหวังว่า
จะได้เห็นรองเท้าคู่ใหม่ที่พ่อของเขาซื้อมาให้
พอมาถึงบ้านเขาก็ร้องถามพ่อว่า

พ่อครับพ่อ

รองเท้าใหม่ผมอยู่ที่ไหนครับ

ผมอยากลองใส่ดูว่ามันจะเป็นอย่างไร

ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามสวมกอดลูกพร้อมกับบอกลูกชายของเขาว่า

ลูกรักพ่อต้องขอโทษลูกด้วยนะที่พ่อไม่ได้ซื้อรองเท้ามาให้ลูก

หลังจากที่พ่อนำข้าวไปขายนายทุนเขาหักกลบลบหนี้เก่าที่พ่อยืมเขามา

หนี้เก่าก็หมดพอดี แต่เงินพ่อที่ขายข้าวเขาให้มาแค่ 80 บาท

มันไม่พอซื้อรองเท้าให้ลูกของพ่อได้

พ่อเลยซื้อปลาทูมาเข่งนึง กับเงาะมาโลนึง

ไปกินข้าว กินเงาะก่อนนะลูกนะ

ปีนี้เราไม่มีหนี้แล้ว

ปีหน้าถ้าฟ้าฝนเป็นใจ

พ่อมั่นใจว่าลูกต้องได้รองเท้าคู่ใหม่มาใส่อย่างแน่นอน


รอปีหน้านะลูกนะ



( ครอบครัวชาวนานัดลูกชายปีหน้า )





  • ท่านทั้งหลายนี่คือความจริง นี่คือความเหมือนที่แตกต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อย
ลุกพ่อค้าก็อดทนรอเพียงวันเดียว

ในขณะที่ลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยใช้เวลารอรองเท้าถึง หนึ่งเดือน

ส่วนลูกชาวนาต้องใช้เวลารอไปอีกหนึ่งปีด้วยความหวังที่ฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ

นี่จึงเป็นหน้าที่ของชนชั้นปกครองที่จะดูแล

ลดช่องว่างทางสังคมลง

เติมเต็มโอกาสทุกช่องทางให้กับสังคม

เพื่อที่จะให้สมาชิกของสังคมได้แสวงหา

หยิบฉวยเอาไปใช้ประโยชน์แก่ตนเองและครอบครัวให้ได้





เพลงชีวิตชาวนา คำร้องทำนองและขับร้องโดย กังวาล ทองเนตร

ขอบคุณอาจารย์ สุเทพ อัตถากร อดีตรัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัย ที่อบรมสั่งสอน
กังวาล ทองเนตร

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปล่อยวาง



ปล่อยวาง

มีชีวิต จึงต้อง  มีปัญหา
ชีวิตเรา  เกิดมา  หนีไม่พ้น
จะสูงต่ำ ดำขาว เป็นเจ้าคน
หนีไม่พ้น  ปัญหา มาโรมรัน
ไม่มีใคร สมใจ  ได้ทุกสิ่ง
เป็นความจริง จริงแท้  ใช่เสกสรร
มีชีวิต  มีปัญหา เป็นนิรันดร์
สิ่งสำคัญ จะแก้ กันอย่างไร
ต้องรู้จัก  ปล่อยวาง  กันเสียบ้าง
มีทุกข์บ้าง  สุขบ้าง เป็นไปได้
อย่าแบกโลก คนเดียว  ให้เหี่ยวใจ
มันเกิดได้  มันดับได้ เป็นความจริง
ทุกชีวิต  ล้วนมี  ซึ่งปัญหา
อย่าอาสา  วิ่งแก้  เสียทุกสิ่ง
ปล่อยเสียบ้าง  วางบ้าง ชั่งใครติง
นี่คือโลก  ความจริง  มันต้องเป็น
ที่ช่วยได้  ช่วยไป  ตามกำลัง
ที่หนักหลัง เลี่ยงหลบ  ยามพบเห็น
เอ็นดูเขา  แต่เรา เศร้ารำเค็ญ
มันก็เป็น  หาทุกข์ มาใส่ตัว
จะช่วยใคร ช่วยไป ตามกำลัง
อย่าขึงขัง หาเหา  เอาใส่หัว
เหาของใคร  แก้ไป  เหาของตัว
อย่าเอาหัว  ใส่เหา จะเกานาน




สังคมจอมปลอม


สังคมจอมปลอม


  • หลายคนเฝ้าพร่ำหาสังคมที่ดี และจินตนาการไปต่างๆนาๆว่าสังคมที่ดีต้องเป็นแบบนั้นเป็นอย่างนี้ตามแต่ความต้องการของตัวเอง
  • ในขณะที่ทุกคนกำลังร้องหาสังคมที่ดี แล้วก็นั่งรอมัน รอว่าสังคมในอุดมคติของตนเองเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นเสียที โดยละเลยไปว่า ตัวเองก็คือส่วนหนึ่งของสังคม คือสมาชิกคนหนึ่งของสังคม แต่ไม่พยายามที่จะสร้างสรรค์สังคมในภาพฝันนั้นให้เกิดขึ้น แต่เฝ้าเพรียกพร่ำร่ำหาให้สังคมอย่างนั้นเกิดขึ้น โดยที่ตัวเองนั่งรอวันนั้นอยู่เฉยๆโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย



  • หลายคนเฝ้าพร่ำหาสังคมที่เท่าเทียม แต่ในขณะเดียวกันก็เหยียดหยามผู้อื่นที่ด้อยกว่า และยกตัวเองว่าสูงส่งกว่าดีกว่าผู้อื่น แล้วคุณจะเรียกร้องหาความเท่าเทียมไปทำไม่



  • การที่บางคนพร่ำเพ้อว่าเกลียดชังเผด็จการเกลียดชังความรุนแรง แต่ก็พร้อมที่จะใช้วิธีการเผด็จการที่รุนแรงโต้ตอบผู้ที่เห็นต่างอยู่ตลอดเวลา คนเหล่านี้แท้ที่จริงไม่ได้ต้องการความเท่าเทียมความเสมอภาคทางสังคม แต่ต้องการเสพอำนาจ ร้องหาอำนาจ เพื่อที่จะใช้อำนาจนั้นมาสนองตอบความต้องการของกลุ่มก้อนของตัวเองเท่านั้น



  • การที่ด่าคนอื่นว่าเป็นเผด็จการ แต่ในใจตัวเองก็นิยมวิธีเผด็จการเช่นกัน การที่ด่าทอคนอื่นเป็นอำมาตย์ แต่ตัวเองก็นิยมความสุขสบาย เกียรติยศชื่อเสียง ยกย่องจากคนอื่นอยู่ดี



  • ทั้งหมดนี้จึงเป็นเพียงแค่การหลอกลวง หลอกลวงสังคม หลอกลวงกระทั่งตัวเอง



  • สังคมที่ดีสำหรับผม คือ สังคมที่คนทุกคนในสังคมอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างมีเกียรติ อย่างมีศักดิ์ศรี และมีความสุขร่วมกัน ไม่มุ่งทำลายหรือเบียดเบียนกัน



  • มิเช่นนั้นจะกลายเป็นสังคมจอมปลอม สังคมหน้ากาก หาความจริงใจไม่ได้



วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คอย


คอย

เช้าก็คอย เย็นคอย แล้วคอยเก้อ
ฉันคอยเธอ จนเหม่อ พร่ำเพ้อหา
คอยฟังเสียง โทรศัพท์ ดังขึ้นว่า
ทุกเวลา  คอยเปล่า เศร้าหัวใจ
หลอกให้ฉัน เฝ้าเพ้อ เหม่อตาลอย
เธอมีสุข เลิศลอย อยู่ที่ไหน
ไปจ๊ะจ๋า วางท่า  อยู่กับใคร
แล้วทำไม หัวใจ ชั่งแสนดำ
บอกฉันว่า จะพา ไปดูหนัง
ฉันได้ฟัง น้ำคำ แล้วดื่มด่ำ
เร่งจัดแจง ชุดสวย ด้วยเชื่อคำ
รอจนค่ำ ยังไร้ เงาของเธอ
โทรศัพท์ ก็มี ที่โทรหา
เมื่อก่อนหน้า โทรมา อยู่เสมอ
เธอเป็นตาย ร้ายดี อย่างไรเธอ
ถึงได้ปล่อย  ฉันเก้อ เหม่อมองทาง