วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ26


เมื่อได้ยินพี่เอกบอกว่าอย่างน้อยก็ใช้เวลาหกชั่วโมงจึงจะถึงฝั่ง
เราก็นั่งคิดไปเพลินๆและหาเรืองโน้นเรื่องนี้มาชวนพูดชวนคุยไปตามประสา
เพื่อสร้างบรรยากาศในเรือไม่ให้มันเงียบเหงาไปกว่านี้

เราจึงได้พูดดังๆขึ้นว่า
ผมมีกระดาษและปากกาอยู่ด้วย
ถ้าใครอยากเขียนจดหมายส่งข่าวถึงใครซักคนที่บนฝั่ง
ก็บอกผมได้เลยเดี๋ยวผมจะไปหยิบมาให้
และเมื่อผมกลับเข้าฝั่งไปถึงกรุงเทพผมจะนำจดหมายนั้นส่งให้ทุกคนอย่างไม่ขาดตก
แม้ฉบับเดียวผมขอรับรอง

เราพูดเสร็จก็ยังไม่มีใครสนองตอบ
ทิ้งเวลาอยู่พอสมควร
เสียงพี่เอกจึงพูดขึ้นว่า
เองจะอาสาเขียนให้ด้วยได้ไหมวะทิว
ได้เลยพี่เอก เดี๋ยวผมจะไปหยิบกระดาษปากกามา ว่าแล้วเราก็เดินไปในห้อง
หยิบกระเป๋ามาเปิดเพือหาสมุดและปากกาออกมา
เมื่อทุกอย่างพร้อม พี่เอกชวนเราไปนั่งหลบมุมห่างจากคนอื่นไปหน่อย
แล้วพี่เอกก็เผยความในใจที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งออกมาให้เรานั่งจดลงบนกระดาษ
เราก็บรรจงจดตามที่พี่เอกพูดทุกถ้อยคำจนเต็มหน้ากระดาษ
แล้วพี่เอกก็บอกให้เราเขียนที่อยู่กำกับไว้เมื่อขึ้นฝั่งค่อยไปซื้อซองและลอกลงหน้าซอง

ต่อมาก็มีพี่หวิล และพี่ๆอีกหลายคน
มาขอให้เรานั่งจดคำพูดที่พวกเขาอยากบอกและสื่อถึงคนบนฝั่งจนเราเมื่อยมือ
แต่ภายในใจเรากลับภูมิใจและดีใจ ที่ได้ปลุกจิตสำนึกของพวกเขากลับมาได้
หลังจากที่พวกเขาพยายามหนีความจริงและหลบซ่อนความจริงมาหลายปี
บัดนี้พวกเขากล้าพูดกล้าที่จะกล่าวคำขอโทษ ขออภัยจากคนบนฝั่งโน้น
แสดงว่าพวกเขาเริ่มมีฝันขึ้นมาใหม่กันแล้ว

และหลายคนก็ย้ำกับเราว่า
ไม่ว่าผลจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ตาม
เขาจะไม่อยู่อย่างคนหมดหวังอีกแล้ว

หลายคนได้นำปลาหมึกตากแห้งที่พวกเขาเก็บตากเอาไว้บนเรือ
มามัดรวมกันคนละมัดสองมัด ใส่มือให้เรา
เพื่อให้นำไปส่งกลับไปพร้อมกับจดหมายถึงคนบนฝั่ง
ทั้งเป็นหญิงคนรักบ้าง
พ่อแม่บ้าง

บางคนไม่มีญาติที่ไหนเหลือแล้ว
ก็พยายามจะหาชื่อที่อยู่ของคนในหมู่บ้านที่พวกเขาเคยรู้จักกันมาเพื่อส่งข่าวคราวหากัน
พี่เอก และพี่หวิล เดินเข้าห้องไปหยิบเงินเป็นธนบัตรใบละร้อยคนละสิบใบ
มาใส่มือให้เรา
พร้อมสั่งว่านี่เป็นค่าซองจดหมายนะทิวและก็ค่าส่งปลา
ถ้ายังพอเหลือพี่ให้เองเก็บไว้ใช้
พี่ทั้งสองคนพูดเหมือนกัน
เรารับเงินและรวบรวมกระดาษจดหมายของแต่ละคนไว้รวมกัน
และมัดปลาหมึกแห้งต่างๆที่พวกเขาเตรียมส่งเป็นของฝากไว้เตรียมรอเมื่อเรือเข้าฝั่ง

พวกเราง่วนกันอยู่ไม่นานเราก็มองเห็นสีเขียวของใบไม้ชัดเจน 
มองเห็นแผ่นดินชัดเจนกับตาตัวเองอีกครั้ง
พวกเรายืนขึ้นรอเวลาไม่นานเรือวิ่งเข้าเทียบท่าสะพานปลา
พี่หลายคนวิ่งเข้าทำหน้าที่คอยโยนเชือกขึ้นฝั่งบ้างคอยโยนยางรถยนต์เก่า
ออกแขวนนอกตัวเรือบ้างเพื่อกันเรือกระแทกฝั่งเสียหาย
พวกเราช่วยกันเร่งมือทำงานอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่บนฝั่งมีพวกผู้หญิงมานั่งเรียงแถวยาวอยู่แล้วตามแนวรางส่งที่ต่อเชื่อมไปจากเรือ
เราช่วยกันเปิดฝาห้องเก็บปลา และใช้ที่ตักปลาขนาดใหญ่หย่อนลงไปในห้องเย็น
ตักปลาขึ้นมาจากท้องเรือเทใส่ตะกร้า
และไสไปตามเรือตามรางเป็นทอดๆส่งต่อกันไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
พี่เอกพาเราขึ้นไปสะพานปลาเพื่อหาน้ำจืดอาบ
เราก็เดินตามไปและเพื่อนพี่ๆอีกหลายคน เราไปซื้อสบู่ แชมพูสระผม
แล้วเดินไปเปิดก๊อกน้ำที่เขาทำไว้เป็นลานกลางแจ้งมีเพียงกำแพงปูนกันอายสูงเพียงแค่อกเท่านั้น
พวกเราอาบน้ำหัวเราะพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แล้วก็เดินกลับมายังเรือ

เราดูนาฬิกา เวลาขณะนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้ว
เราไปจัดข้าวของเรียบร้อยสวมกางเกงยีน
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวเก่าตัวเก่งพร้อมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อที่ขณะนี้ดูเหมือนว่าจะทรุดโทรมตามกาลเวลา
เราเข้าไปลาไต๋ก๋ง ไต๋เข้ามาโอบกอดเราอย่างเอ็นดู
เราเข้าไปลาเพื่อนและพี่ทุกคนบนเรือ ก่อนจะเก็บสัมภาระก้าวขาขึ้นฝั่งทันที
เราหันไปโบกมือให้ทุกคนพร้อมเสียงสั่งลา

อย่ากลับมาที่นี่อีกนะไอ้ทิว เสียงไต๋ก๋งตระโกนตามหลังออกมา
เพื่อนมาหลายคนก็ร้องตระโกนออกมา ไม่นานหรอกทิวพวกเราจะตามแกไป
พี่เอกและพี่หวิลช่วยถือสัมภาระเดินออกมาจากสะพานปลา และเรียกรถสองแถวมาให้ไปส่งเราที่สถานีรถไฟโคกโพธิ์ เราก้าวขาขึ้นรถพร้อมกอดพี่เอกและพี่หวิลก่อนลาจากกัน

เราให้คนขับไปแวะที่ตลาดก่อน
คนขับพาแวะจอดที่ตลาด จะบังติกอ ปัตตานี
เราลงจากรถ เพื่อไปซื้อกล่องกระดาษมาซัก กล่อง
เพื่อเก็บปลาหมึกแห้งเหล่านี้ลงลัง จะได้ถือง่าย และไม่ส่งกลิ่นรบกวนคนอื่นด้วยเมื่อขึ้นรถ
เมื่อเราได้กล่องมาก็นำมัดปลาหมึกแห้งของแต่ละคนยัดลงในลังกระดาษใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา
และให้คนขับรถสองแถวพาตรงไปที่โคกโพธิ์
รถมุ่งตรงไปยังโคกโพธิ์ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเราเก็บสัมภาระลงจากรถ
จ่ายค่ารถให้คนขับสองแถว100บาท และก็เดินตรงไปยังห้องจำหน่ายตั๋ว

เราตรงเข้าไปซื้อตั๋วเข้ากรุงเทพ ราคา 199 บาท
เวลาประมาณ ทุ่มครึ่งรถไฟจากยะลา ก็เข้าเทียบท่าชานชาลาที่โคกโพธิ์ เพื่อเข้ากรุงเทพ
เราแบกสัมภาระขึ้นรถไฟมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพอีกครั้ง
เรานอนหลับบนรถไฟทั้งคืนจนเช้าก็ยังไม่ถึงกรุงเทพ รถไฟวิ่งอีกทั้งวันก็ยังไม่ถึงกรุงเทพ
นี่มันเป็นเส้นทางที่ยาวไกลจริงๆ นึกถึงตอนที่เรามาที่เขาใส่ยานอนหลับในน้ำให้เราดื่ม
เราหลับยาวมารวดเดียวถึงโคกโพธิ์ก็คงใส่ยานอนหลับเข้าไปไม่น้อย

จนเวลาเกือบทุ่มหนึ่งรถไฟจึงเข้าเทียบท่าชานชาลาหัวลำโพงอีกครั้ง

เรากลับมาเริ่มต้นที่นี่อีกครั้งหนึ่งหลังจากวันแรกที่เรามาจากขอนแก่น
แล้วจะไปซอยหลังสวนแต่แท็กซี่พาไปสวนจตุจักร
และกลับมาหัวลำโพงอีกครั้งตอนที่พวกสำนักจัดหางานพามาขึ้นรถไฟหลอกเราลงใต้ไปปัตตานี
ดังนั้นเรามาหัวลำโพงครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สาม
แต่มันเป็นเวลาหัวค่ำ แล้วเราจะไปที่ไหน หรือนอนที่ไหนในค่ำคืนวันนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น