วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ22


ชีวิตในเรือ
เราเริ่มปรับสภาพได้
กินอาหารได้ ไม่เวียนศีรษะ ไม่อาเจียน
มีอยู่อย่างเดียวที่เรายังปรับไม่ได้ก็คือการเดินบนเรือ
เรายังเดินและก็ล้มหัวคะมำคว่ำหงายไปตามพื้นเรืออยู่เหมือนเดิม
จนกลายเป็นตัวตลกของเพื่อน
ประมาณครึ่งเดือนเราก็ยังไม่ได้เข้าฝั่ง
เรายังลอยเท้งเต้งเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลกว้าง
ในเวลานี้ทุกคนรู้จักทิวกันทั่วทั้งเรือ ทุกคนเรียกใช้เรียกหาทิวอยากเป็นกันเองไม่ขาดสาย
เราเริ่มเห็นสภาพความกดดันในทะเล

วันๆมีแต่น้ำกับฟ้า
ทุกวันเห็นแต่ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากน้ำและตกลงไปในน้ำ
เสื้อผ้าเราที่มีติดตัวมาอยู่แค่ กางเกงยีนสี่ตัว เสื้อยืดสามตัวเสื้อเชิ้ตแขนยาวสองตัวกับผ้าขาวม้าคู่ใจ
และผ้าเช็ดหน้าสีชมพูกับ ส.ค.ส.จากริญ คนรักของเรา
ยามเหงาเราก็ได้แต่หยิบ ส.ค.ส.เธอ ออกมาอ่านและใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เธอให้
ผูกไว้กับข้อมือตลอดเวลา

กางเกงยีนขายาวเริ่มเหม็นคาวปลาคละคลุ้ง และไม่สะดวกเอาซะเลยกับการทำงานบนเรือ
เราจึงตัดให้เป็นขาสั้น
ส่วนเสื้อก็ไม่ใส่เพราะจะทำให้เหม็นคาวปลาจึงพับเก็บไว้ในกระเป๋า
ถอดเสื้อตากแดดแช่น้ำเค็มๆของทะเลวันแล้ววันเล่า
จนเส้นผมบนศีรษะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเหนียวเกรอะกรัง
สีผิวหมองคล้ำ ดำจนเขียว

เราคิดอยู่ในใจว่ากลับเข้าฝั่งเมื่อไหร่เราจะต้องหนีกลับกรุงเทพให้ได้
ป่านนี้เธอคงเฝ้าคอยและเป็นห่วงเรา เธอคงอยากทราบข่าวคราวจากเราอยู่
คิดไปก็แสนหดหู่นักกับโชคชะตาของตัวเอง
ชีวิตบนเรือไม่มีห้องน้ำห้องส้วม
เวลาถ่ายทุกข์ก็จะใช้เชือกผูกเอวตนเองเอาไว้ด้านหนึ่ง
ส่วนปลายเชือกอีกด้านผูกไว้กับเรือ
แล้วก็ก้าวขาออกไปนั่งเกาะอยู่ตรงแคมเรือ
เวลาเรือโดนคลื่นเราก็จะตกจากเรือขณะถ่ายทุกข์ และก็สาวดึงเชือกที่ผูกเอวไว้เข้าหาเรือ
เป็นภาพที่เราพบเห็นอยู่จนชินตาในแต่ละวัน
และปัญหายาเสพติด เช่น กัญชา ฝิ่น เฮโรอีน
มีครบที่บนเรือตังเก
หลายครั้งที่เราถูกชวนให้ลอง แต่เราก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดมาโดยตลอด
เราจะเดินไปคุยกับคนนั้นคนนี้ ในแต่ละวันจนเป็นปกตินิสัยจนทุกคนคุ้นชินกับเรา

พี่หลายคนเวลามานั่งล้อมวงเสพกัญชากันก็ชอบที่จะให้เรา
มานั่งพูดนั่งเล่าอะไรก็ได้ให้ฟัง เพื่อความบันเทิงและเพลิดเพลิน
และดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็นหน้าที่ของเราอย่างหนึ่งบนเรือไปเสียแล้ว
เมื่อพวกเขาล้อมวง
ชื่อทิวก็จะถูกเรียกออกมาให้พูดเรื่องจิปาถะให้ฟังอยู่ในทุกวัน

วันนี้ก็เช่นกัน
เวลาประมาณสองทุ่มพวกเราตีปลาเสร็จเก็บกู้อวนแล้วก็นั่งพัก รอยกต่อไประหว่างพัก
ทุกคนก็ออกมานั่งเรียงรายตามพื้นเรือ
ก่อนเราจะถูกเรียกออกไปทำหน้าที่นี้

เราเดินออกมาซักพักก็ล้มคว่ำลงกับพื้นเรืออีกเพราะเรือมันโคลง
เพื่อนหัวเราะกันใหญ่
เองยังไม่ชินอีกหรือวะทิว พี่เอกหัวหน้างานถาม
ยังเลยครับพี่ ผมฝืนเท่าไหร่มันก็ไม่อยู่ล้มทุกที เราตอบ

ก็เพราะเองฝืนไงเองถึงล้มทิว
การเดินบนเรือ มันต้องเดินแบบคนเมา
โยกไปโยกมาเอียงซ้ายเอียงขวาแอ่นหน้าแอ่นหลัง เองต้องทำอย่างนั้น
เองจะเดินเหมือนบนบกไม่ได้ พี่เอกให้คำแนะนำ

พวกพี่เดินบนเรือจนชิน พอขึ้นบก ก็ยังติดนิสัยลืมคิดว่าตัวเองอยู่บนเรือ
เดินโยกเยกโยกเยกเหมือนคนเมา
พวกเราเสียทุกอย่างที่อยู่บนบกไปแล้ว พี่เอกบอก
ว่าไงวันนี้จะเล่าอะไรให้เราฟังวะ ไต๋ที่นั่งอยู่ไกลออกไปร้องถาม
ผมไม่มีอะไรจะเล่าแล้วครับ เราตอบไต๋
เฮ้ย !! ได้ไงวะ เล่าอะไรก็ได้เล่ามา ไต๋สั่ง
ผมมีแต่คำถามที่อยู่ในใจที่อยากถามพี่ๆทุกคนแต่กลัวทุกคนจะโกรธ

เฮ้ย..ไม่มีใครโกรธเองหรอกวะทิว 
เวลานี้เองเป็นขวัญใจของเรือลำนี้ไปแล้ว เองถามมาเลย
ข้าอยู่ด้วยจะช่วยถามต่อให้ ไต๋ให้ความมั่นใจ

เราก็เริ่มต้นขึ้นว่า
สิ่งแรกที่ผมอยากรู้ก็คือ
ทำไมทุกคนจึงไม่คิดหรือพยายามที่จะหนีออกไปจากที่นี่
ทำไมทุกคนเอาชีวิตทั้งชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
ทำไมทุกคนไม่กลับไปทำมาหากินที่บนฝั่งโน้น
ไปหาครอบครัว ไปอยู่กับครอบครัวหรือไปสร้างครอบครัวที่บนฝั่งโน้น

เราพูดเสร็จทุกคนเงียบ
สักครู่ไต๋ก็เอ่ยขึ้นมา
ว่าไงพวกเราใครจะตอบไอ้ทิวมันวะ บรรยากาศเงียบกันอยู่พักหนึ่ง
พี่เอกหัวหน้างานพูดขึ้นมาว่า

บนฝั่งโน้นเราไม่มีใคร ทุกคนตบมือ พร้อมพูดสนับสนุนพี่เอกว่า ใช่ๆ
เราก็ตัดบทขึ้นว่า

ทุกคนมีครอบครัว 
อย่างน้อยก็มีพ่อ มีแม่ มีพี่มีน้องอยู่ที่นั่น และมีความหวังมีอดีตมีอนาคตอยู่ที่นั่น
หรือแม้แต่อาจจะเคยมีคนรัก และเธอเหล่านั้นอาจกำลังรอพวกเราอยู่

เขาจะมารออะไรกับคนไม่มีอนาคตอย่างพวกเรา
เสียงพี่คนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา

นั่นเป็นเพราะพี่คิดไปเอง
พี่คิดไปเองว่า พี่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
พี่คิดไปเองว่าไม่มีใครเขารอพี่อยู่ ทั้งๆที่พี่เองไม่เคยไปดู ไปถาม ให้เห็นกับตา
พี่คิดไปเองว่าเธอเหล่านั้นไม่รอ

พี่ลองคิดกลับกัน
ขณะนี้พวกเธอเหล่านั้นกำลังนั่งรอพวกพี่อยู่ รอข่าวสาร รอความเคลื่อนไหว
รอโดยที่ไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร เป็นหรือตาย ทั้งที่พวกเธอไม่มีความหวัง
แต่ก็ยังรออยู่จนตัวเองแก่เฒ่า

พี่ลองถามตัวเองสิว่าพี่ได้ปล่อยให้สาวน้อยคนหนึ่งหน้าตาสวยใส
เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อรอความหวังจากพวกพี่
รอความหวังว่าจะได้แต่งานอยู่กินกับพวกพี่ 
รอสร้างครอบครัวกับพวกพี่อยู่กินฉันสามีภรรยา
แต่เขากลับไม่มีความหวัง เพราะพวกพี่ทอดทิ้งพวกเขา
เพราะพวกพี่ขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับความจริง
เพราะพวกพี่ยอมจำนนกับโชคชะตา 
เอาชีวิตมาทิ้งอยู่ที่นี่ ทั้งที่มีคนรอพวกพี่อยู่บนฝั่งโน้น
พวกพี่คิดถึงหัวอกเธอบ้างไหม
ถามบ้างไหม
พวกเขารอทำไม
ทั้งที่ไม่มีหวัง
ความรักไง
ความรักทำให้พวกเธอรออยู่มาได้แม้ไม่มีหวัง
ความรักมันไม่มีเหตุผล
ความรักมันไม่ใหญ่เหมือนแผ่นฟ้า
ความรักมันไม่หนาเหมือนขุนเขา
หรือว่าเบาเหมือนปุยนุ่น

ความรักมันเป็นเพียงเส้นเล็กๆ
ที่แฝงตัวอยู่ในความรู้สึกของพวกเราทุกคน
ถ้าเราเติมความมั่นคงเข้าไป
เส้นเล็กๆนี้ก็จะมั่นคง
ถ้าเราเติมความเปราะบางเข้าไป เส้นเล็กๆนี้ก็พร้อมที่จะขาด
ถ้าเราไฟเข้าไป
เส้นเล็กๆนี้ก็พร้อมจะเผาผลาญไหม้ลามไปได้ทุกอย่างเหมือนกัน
มันจึงอยู่ที่เราว่าจะเติมความรู้สึกอะไรลงไป
ในสายใยเส้นเล็กๆที่ชื่อว่าความรักเส้นนี้

พี่ลองถามตัวเองว่าอยู่นี่มากี่ปีแล้ว
แล้วมีอะไรขึ้นมา
ออกจากฝั่งได้เงินสองร้อยกลับเข้าฝั่งได้เงินอีกสองร้อย
เราจะอยู่ได้ยังไง

ถ้าพี่ไปทำงานบนฝั่งอย่างแย่ที่สุดพี่ก็น่าจะได้ซักพันหนึ่งต่อเดือน
แต่นี่ได้สองร้อย และยังรอน้ำบ่อหน้าอีกว่า
หกเดือนเขาอาจแบ่งปันเงินให้ 
แล้วทำไมตรงนี้พวกพี่หวังได้ทั้งที่มันมองไม่เห็นเหมือนกัน

พี่ลองเดินขึ้นฝั่งเดินเข้าไปตลาด
ไม่แน่พี่อาจจะไปเดินชนหญิงสาวเข้าซักคนและเธออาจยิ้มให้พี่
เธออาจคุยกับพี่ เท่านี้ก็สร้างฝันให้เรามีชีวิตที่จะอยู่ได้แล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่าพวกพี่จะคิดอะไร
แต่ถ้าเป็นผม
ผมจะไปจากที่นี่
ผมจะไปแสวงหาฝันและเดินตามทางหัวใจของผม
มันจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ผมไม่รู้
แต่อย่างน้อย ผมก็ได้เดินไป
อย่างน้อยผมก็ได้สู้
อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ยอมจำนนกับโชคชะตาของตัวเอง


                                                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น