วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ31


เรากลับถึงห้องพักวันนี้ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
ที่สายสัมพันธ์รักเราสองคนอย่างแนบแน่นฝังตรึง
และนับวันแต่จะเพิ่มพูนงอกงามขึ้น
คิดไปก็น่าแปลกใจกับชีวิตของตัวเราเอง
ได้เรียนหนังสือต่อเนื่องเพียงแค่ ม.3
และต้องจากบ้านมาหางานทำ
วันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันหยุดแท้ๆ แต่เรากลับไม่ได้หยุด
และกลายเป็นวันที่ชักนำให้เราและริญได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก
และคบหาสานสัมพันธ์กันมาจนแนบแน่นถึงวันนี้

สิ่งที่ค้างคาใจเราและเรากังวลที่สุดตอนนั้นคือ
ช่องว่างระหว่างเรากับริญจะไกลห่างออกไปจนมองไม่เห็นกัน
ตอนนั้นเราคาดหวังเพียงว่าจะทำอย่างไรจึงจะรักษาระยะห่างนี้ไม่ให้มันห่างไกลเกินไป
เราต้องการเพียงแค่เดินตามหลังเธออยู่ห่างๆพอมองเห็นกัน
พอตระโกนคุยกันได้ยิน ไม่เคยคิดฝันว่าจะเดินมาจนทันเธอ
และได้จับมือกับเธอในระยะเดียวกันได้
เวลานี้เราจบ ปริญญาตรี มีงานทำ 
มีรายได้ที่ดีมากถ้าเทียบกับสมัยก่อน
ระหว่างรอคอยวันที่ริญเรียนจบ
เราจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทเพื่อคร่าเวลา
และปีหน้าเราก็จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
ได้สวมชุดครุยวิทยะฐานะของบัณฑิตอย่างเต็มภาคภูมิ

ส่วนเรื่องของหัวใจ
มาถึงวันนี้เราไม่มีความห่วงใยและกังวลอีกต่อไป
เราสองต่างมั่นใจและเชื่อมั่นในกันและกัน และคำสัญญาใจที่เราให้แก่กัน
จะผูกพันเราไว้ในทุกภพชาติ

ห้าปีที่ห่างกัน ริญเธอก็ได้เคยเล่าให้เราฟังว่าสองสามปีหลัง
มีหลานชายห่างๆของคุณย่าเธอ ชื่อเอกอมร
เป็นนักเรียนนอก เพิ่งเรียนจบมา
ยังไม่ไม่ได้ประกอบกิจการงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะมีนิสัยเย่อหยิ่ง ในความเป็นนักเรียนนอกของเขา
มักจะมองคนอื่นว่าด้อยกว่าตัวเองอยู่เสมอ
มาแอบชอบติดพันเธออยู่ซึ่งเธอก็เคยเอ่ยถึงความกังวลใจให้เราฟังหลายครั้ง
แต่ทุกครั้งที่เธอพูดถึงนายเอกอมร เราก็จะบอกให้เธอได้รู้ว่า
ใครก็ตามที่ได้เห็นริญ ไม่หลงรัก คนๆนั้นก็ผิดปกติทางใจแล้ว
ริญอย่าได้ใส่ใจ และเราก็มั่นใจในตัวเธอ
เพื่อให้เธอคลายใจ
แต่ดูเหมือนว่า เธอจะมีความกังวลใจทุกครั้งที่เจอผู้ชายคนนี้
ไม่ว่านิสัยใจคอ ปากไว ใจเร็ว และชอบเหยียดหยามผู้อื่นมันทำให้เธอไม่อยากเข้าใกล้

ซึ่งตัวเราเองไม่เคยได้เจอหน้านายเอกอมรซักครา 
และเรื่องภายในบ้านคุณย่าของเธอ
ถ้าริญไม่เล่า เราก็จะไม่ถาม 
เราจึงไม่รู้เรื่องราวภายในบ้านคุณย่าของเธอซักเท่าไหร่
และด้วยนิสัยของวริญญา
เธอก็ไม่ใช่คนที่จะนำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอมาเล่าต่อหน้าใครด้วย

เมื่อเราได้ตัดสินใจเรียนปริญาโทต่อ
ก็ต้องหาเงินเพิ่มมากขึ้นเพราะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในการเรียน
เราจึงต้องรับสอนการบ้านตามบ้านมากขึ้นในเวลาเย็นถึงสามสี่ทุ่มในบางวัน
รวมถึงรับสอนวิธีใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ออฟฟิศพื้นฐานให้เด็กๆและผู้สนใจด้วย

วันหนึ่งเราถูกเรียกให้ไปสอนการบ้านเด็กอยู่ในซอยทองหล่อ ไม่ไกลจากที่พักนัก
เป็นบ้านของคนมีฐานะมีอันจะกินถึงขั้นมากเลยทีเดียว
เจ้าของบ้านชื่อคุณกิตติพงษ์ ทุกคนเรียกเขาว่าเฮียตี๋
แต่เราเรียกเขาว่าคุณกิตติพงษ์
เรามาสอนการบ้านลูกสาวเขาที่บ้านนี้หลายครั้งจนคุ้นเคยหน้า
ลูกสาวของเขากำลังเรียนอยู่ ป.6 กำลังจะเตรียมตัวเข้าสอบ ม.1
นี่จึงเป็นสิ่งที่เราถูกเรียกตัวเข้ามาสอน

วันหนึ่งหลังจากสอนเสร็จเรากำลังจะขอลากลับ
คุณกิตติพงษ์บอกว่า
คุณทิว คุณทำไมไม่หารถไว้ใช้ส่วนตัวซักคัน
จะได้สะดวกเวลาเดินทางไปสอน และมันจะทำให้คุณได้งานเพิ่มมากขึ้นด้วย
เพราะไปไกลๆได้

เราจึงตอบไปว่าผมคงไม่มีเงินไปซื้อรถยนต์ได้หรอกครับ คงแพงน่าดู
คุณกิตติพงษ์จูงมาเราเดินไปโรงจอดรถภายในบ้านเขา
และบอกว่า
ผมมีเปอร์โย 405 อยู่คันหนึ่งจอดไม่ได้ใช้มานาน 
นานๆทีจะนำไปวิ่งพอเครื่องได้ทำงานบ้างเท่านั้น
คุณสนใจไหมผมจะขายให้ถูกๆ
เราดูจากสภาพรถก็ยังใหม่อยู่เลย เป็นรถสีเทาเข้ม
ผมขายทิ้งให้คุณเลยแปดหมื่นเอาไหม
เราลังเลยังไม่ได้ตอบคำถามอะไร
คุณกิตติพงษ์ก็เสนออีกว่า งั้นเอาห้าหมื่นก็พอ
จอดไว้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณขับออกไปเลยพรุ่งนี้มาสอนค่อยมาทำเรื่องโอนกัน
เพราะผมใช้อีกคนที่จอดอยู่ถัดไปโน่น

เราก็เห็นว่ามันไม่แพง อยู่ในวิสัยที่เราสามารถซื้อได้สบาย
จึงตอบตกลง
และคุณกิตติพงษ์ ยังชวนคุยอีกว่า
ผมมีคอนโดมือสองอยู่ห้องหนึ่งซึ่งผมเคยอยู่ตอนหนุ่มๆ
ตอนนี้ถูกปิดตายไม่ได้ใช้มานานแล้ว 24 ตารางเมตร
ผมจะขายให้คุณสองแสนเอาไหมค่อยผ่อนให้ผมก็ได้ไม่ต้องผ่านธนาคารอะไรทั้งนั้น

และคุณกิตติพงษ์ยังได้ยื่นข้อเสนอทางธุรกิจอีกว่า
ผมมีบริษัทจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์นะ ตอนนี้กำลังบูม
และผมมีตึกแถวอยู่หน้ารามคูหาหนึ่งสามชั้นครึ่ง
คุณสนใจไหม
ถ้าผมจะเปิดเป็นที่สอนหรืออบรมคอมพิวเตอร์ ประมาณนี้
ซึ่งผมจะให้คนนำเข้าไปติดตั้งให้ และบริหารจัดการทั้งหมดรวมค่าน้ำค่าไฟ
คุณทิวมีหน้าที่มาสอนมาดูแลคนที่จะมาเรียน
หกสิบสี่สิบเอาไหม

คุณกิตติพงษ์ยื่นข้อเสนอมาเป็นชุดๆจนเราตั้งตัวไม่ทัน
เรารับข้อเสนอแรกคือซื้อรถ
ข้อที่สองคือคอนโด เราขอไปดูก่อน
ข้อที่สามคือเปิดโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน
ซึ่งเราไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดเลย
เราจึงสนใจ และนั่งลงเจรจากัน
เราบอกกับคุณกิตติพงษ์ว่าคุณกิตติพงษ์ลงทุนทุกอย่างแต่รับแค่หกสิบ 
ผมรับไม่ไหวหรอกผมแค่มาสอนได้ตั้งสี่สิบ
ผมเสนอเจ็ดสิบห้า ยี่สิบห้าก็พอ
คุณกิตติพงษ์เงียบอยู่พักหนึ่ง
ก่อนเดินมาตบไหล่เรา
งั้นตกลงตามนี้
แต่รถเปอร์โยคันนี้ผมยกให้คุณเลยวันนี้ขับออกไปได้เลย
พรุ่งนี้นำเอกสารมาผมจะโอนให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ว่าแล้วคุณกิตติพงษ์ให้คนในบ้านเขาไปหยิบกุญแจมาให้กับเรา

เราขับรถออกจากบ้านคุณกิตติพงษ์
ทั้งประหลาดใจ ทั้งไม่เข้าใจว่า
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเรานะ
ชีวิตเราบทจะดิ่งมันก็ดิ่งจนตั้งตัวไม่ทัน
พอบทจะขึ้นมันก็พุ่งขึ้นจนเราตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
ชีวิตเรา
มันเหมือนกับถูกจัดวางเตรียมการเอาไว้
มากรุงเทพครั้งแรก ก็ถูกพาไปนอกเส้นทางและต้องระเหเร่ร่อน
ไปตามแรงกรรมที่เรือตังเกที่ปัตตานี
เราคิดว่าจะไม่รอด แต่เรากลับไปเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงไปสู่เรือตังเกลำนั้น
พอกลับเข้ากรุงเทพอีกครั้ง เดินจนเหนื่อยล้ามานั่งอยู่ข้างถนนอโศกจนมาพบกับพี่พงษ์
และเป็นผู้พาเราเข้าสู่เส้นทางที่เราต้องการ
มาวันนี้ชีวิตเรามาได้คุณกิตติพงษ์ยื่นมือส่งมาช่วยดึงเราขึ้นไปอีก
แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่าชะตาจะเรียกว่าอะไร เราคิดอยู่คนเดียว




                                            






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น