วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การแต่งงานคืออะไร



หลายคนมีคำถาม และมีคำตอบให้กับตัวเองว่า
การแต่งงานคืออะไร
บางคนตอบว่า คือความสำเร็จสูงสุดของชีวิตคู่
บางคนตอบว่าคือสิ่งยืนยันชีวิตรัก
บางคนก็ตอบว่า คือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่

การแต่งงาน
ถ้าตามความหมายของชาวบ้านทั่วไป
ก็จะหมายถึง การที่ชายหนุ่มหญิงสาว ตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน
และมีพิธีกรรม คือพิธีแต่งงาน จัดขึ้นให้ผู้คนได้รับรู้ 
นั่นคือการแต่งงานตามความหมายชาวบ้าน

แต่ความหมายตามกฎหมาย การแต่งงานหมายถึง
การที่ชายหญิงที่มีคุณสมบัติครบตามกฎหมาย
 ยินยอมพร้อมใจ จดทะเบียนสมรส
ถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่กินกันฉันสามีภรรยา

นี่คือความหมายตามกฎหมาย
คือกฎหมายไม่ได้ เรียกการจัดการแต่งงานว่า เป็นการแต่งงาน
แต่มองการนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น การแต่งงานที่แท้จริงตามกฎหมายคือ
การสร้างภาระผูกพัน ทางชีวิต และรับผิดชอบการกระทำนั้นร่วมกัน 
ไม่ว่าแง่ดีหรือไม่ดีที่จะเกิดขึ้นตามมา

และการแต่งงานนี้จะสิ้นสุดลงทันที เมื่อ ทั้งสองฝ่าย
จดทะเบียนหย่าร้างกัน

แต่ไม่ว่าความหมายของการแต่งงานจะเป็นเช่นไร
การแต่งงานนั้นก็มักจะถูกแบ่งออกได้สองลักษณะ
คือแบบนามธรรม หมายถึงความรู้สึก ความเชื่อ ความผูกพัน ความรัก
ซึ่งเป็นแรงผลักสำคัญ ที่ทำให้คนสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

และแบบรูปธรรม 
หมายถึง พิธีกรรม การประพฤติปฏิบัติ ต่อกัน
การแสดงออก ทางร่างกาย หรือเรียกว่าภาษากายเป็นต้น

บางคนมองว่า การแต่งงาน
คือการมอบการถวายชีวิต ให้กันและกัน
บางคนก็บอก การแต่งงานคือเธอจะทำอย่างไรกับฉันก็ได้
 เพราะฉันเป็นของเธอแล้ว

บางคนก็บอกการแต่งงานหมายถึงการอนุญาตให้ฝ่ายชาย
ล่วงเกินฝ่ายหญิงได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัด

การแต่งงานในทัศนะผม
คือการที่ชายหญิง
ที่ต่างที่มา ต่างการศึกษา
ต่างการอบรมเลี้ยงดู
ต่างฐานะ ต่างหน้าที่ การงาน
มีความรู้สึกดีดีให้กัน
และเชื่อใจกัน
ตกลงใช้ชีวิตคู่ อยู่ร่วมกัน สร้างฐานะครอบครัวร่วมกัน

มันไม่ได้หมายถึงการอนุญาตให้อีกฝ่ายละเมิดอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
มันไม่ได้หมายถึง การยอมมอบการถวายชีวิตให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน

แม้จะมีการแต่งงานแล้ว แม้จะมีการใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว
ก็ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นส่วนตัว 
หรือพื้นที่ส่วนตัว หรือสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละฝ่ายจะหมด 
หรือหายไปตามการแต่งงาน

ทุกฝ่ายยังคงมีสิทธินั้นสมบูรณ์ตามกฎหมาย
แต่สิทธินั้นจะมีความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ มากกว่ากรณีอื่นทั่วไป
การแต่งงานไม่ได้หมายถึง ใครเป็นของใคร
การแต่งงานไม่ได้หมายถึงใครต้องยอมใคร
แต่มันหมายถึงการที่ทั้งสองฝ่าย
ต้องปรับตัวเข้าหากันให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเอง

บางคนก็บอกว่า การแต่งงาน ก็คือ การได้มีภาระเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
คือได้คนมาช่วยกินเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวสามีหรือภรรยาเอง
หรืออาจพ่วงรวมไปถึงญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
ถ้านับตามนัยนี้ การแต่งงานยังหมายถึง การที่มีคนมาแย่งอากาศหายใจอีกด้วย
ยังหมายถึงมาสร้างอากาศให้เป็นพิษเพิ่มอีกด้วย

มาผายลมใส่ มาเพิ่มความเห็น
มาเป็นตัวขัดขวาง ขัดขา หรือสนับสนุนก็ได้
มาทำให้เราต้องซักเสื้อผ้า รีดเสื้อผ้า ทำอาหารเพิ่มขึ้น

ดังนั้นการแต่งงาน
มันจึงไม่ใช่ฉากรักในละครน้ำเน่า
 ที่ฝ่าฟันกันมาแล้วมาหวานชื่นตอนจบในพิธีแต่งงาน

แต่แท้จริงการแต่งงานมันเป็นเพียง
การรับเอาปัญหาของคนอื่นมาเพิ่ม
การแต่งงานมันเป็นเพียงการ
เริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน 
สร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน
จะสำเร็จหรือล้มเหลว
มันก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนเป็นหลัก
และก็พร้อมที่จะคืนชีวิตให้แก่กัน
เมื่อเห็นว่ามันฝืนและไปต่อไม่ได้

การแต่งงานมันจึงไม่ใช่
ความสำเร็จในชีวิต แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นการดำเนินชีวิต 
และสูญสิ้นซึ่งอิสระภาพส่วนตัวบางอย่างไปด้วย




โซ่รักขาดแล้ว

คำร้อง- ทำนอง กังวาล ทองเนตร
ขับร้อง โดย กังวาล ทองเนตร
ลิขสิทธิ์และเจ้าของ โดย กังวาล ทองเนตร



วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ก็แค่ชีวิต


บางครั้งชีวิตคนเรา ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
บางครั้งก็ดูสับสน ซ่อนเงื่อน
บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
มากมายความรู้สึก ที่แฝงอยู่ในตัวคนเรา
บางครั้งก็มีเหตุผล บางครั้งก็ไร้ซึ่งเหตุผล
บางครั้งก็ดูเข้มแข็ง แข็งแกร่งดุจหินผา
บางครั้งสองแก้มก็อาบไปด้วยน้ำตา
เหมือนกับเด็กยังไม่หย่านม

หลายวันอารมณ์ก็ดูสดใส
อยากท่องไปอย่างเสรีในโลกกว้าง
มองเห็นพบเจอสิ่งใด ล้วนแต่มีความสุข
บางครั้งโลกทั้งใบก็กลายเป็นนรก
มีแต่สิ่งขวางหูขวางตา ฉาบเคลือบไปด้วยมายาคติ
ซึ่งมันยากเกินกว่าจะเข้าใจ
บางครั้งเราคิดว่า เราเชี่ยวชาญ เรารู้จักชีวิต
และสัมผัสโลกนี้ได้ดีพอ

แต่บางครั้งก็ทำให้เราได้รู้สึกว่า เรายังอ่อนหัด
ด้อยประสบการณ์ ไร้เดียงสา สำหรับการเรียนรู้ชีวิต
เรายังอยู่ไกลเกินกว่า คำว่า เชี่ยวชาญ
ยิ่งเราพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นเท่าใด
เรายิ่งรู้สึกว่า เรายังด้อยเสียเหลือเกิน
หรือชีวิตก็เป็นอย่างนี้เอง

เราเองต่างหากที่ไม่พยายาม เข้าใจ และเรียนรู้ที่จะใช้มัน
เราเองต่างหากใช่หรือไม่ที่พยายามที่จะหนีมัน และมีอิทธิพลเหนือมัน
ทั้งที่ในความเป็นจริง เราควบคุม หรือบงการอะไรมันไม่ได้เลย
แม้เพียงน้ำตาที่รินหยด หลั่งรดอาบสองแก้ม
เรายังไม่สามารถที่จะหยุดไม่ให้มันไหลออกมาได้เลย
ไม่มีใครรู้จักชีวิตและโลกนี้ได้ดีพอหรอก
ไม่มีใครควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้เชี่ยวชาญมากมาย
สิ้นลมหายใจไปพร้อมด้วยน้ำตา แห่งความเศร้าโศกและผิดหวังในชีวิต

แล้วเราเป็นใคร
เราก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ในวงโคจรของสิ่งมีชีวิต ในโลกใบนี้เท่านั้น
ที่ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นไป ตามวัฎจักร ตามวงจรของมัน
และจากไปตามเวลาของมัน เราไม่สามารถ ควบคุมหรือกำหนดอะไรมันได้เลย
แม้แต่ ลมหายใจสุดท้าย ของตัวเราเอง 
เพราะชีวิตเราคือส่วนประกอบหนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้น

ลังเล

รัก

เพ้อ

คึกคัก

ท้อ

ทรมาน

สิ้นหวัง

เยียวยา



วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ครวญถึงน้อง




ครวญถึงน้อง


มะลิวัลย์ พันกอ พฤกษาดาด
ปาริชาติ แย้มช่อ พอไสว
ภุมรินทร์ บินว่อน ผ่อนหัวใจ
ได้ตอมไต่ เกสร สลอนชู
หมู่วิหค โบกบิน แนวสิงขร
ต่างเร่งจร ร่อนมา บินหาคู่
สายัณห์ย่ำ ค่ำแล้ว แก้วพทู
แม่ยอดชู้ เจ้าอยู่ เคหาใด
สุรีย์ลา จันทรา ก็ทอแสง
ดาราแต่ง แสงสี ราตรีใหม่
นภาพราว สกาวสุก ผูกพันใจ
ดาวน้อยใหญ่ ให้แสง แห่งราตรี
จั๊กจั่น เรไร ยวนใจข้า
บรรเลงมา พาให้ หัวใจพี่
เจ็บปวดร้าว ร้อนผ่าว หนาวฤดี
เหมือนดั่งมี พิษไข้ ในใจเรา
ทอดอาลัย ด้วยใจ ที่หดหู่
เหม่อมองดู นภา พาอับเฉา
หมู่เมฆา ลอยมา บดบังดาว
ราตรีเศร้า หงอยเหงา ลงทันใด
ฟ้าคำรณ กร่นเสียง ดังเปรี๊ยงปร้าง
พี่ครวญคราง ห่างน้อง ครองสมัย
เคยแนบชิด สนิทเนื้อ เรื้อลาไกล
สุดเสียดาย กายเจ้า ให้เขาชม

จากงานประพันธ์ บางส่วน เรื่อง กวีข้างถนน


โดย กังวาล ทองเนตร


ครวญถึงน้อง - สายัณห์ สัญญา ขับร้อง
กราฟฟิค ดีไซน์ ตัดต่อ โดย กังวาล ทองเนตร


ที่รักเธออยู่ไหน - สายัณห์ สัญญา ขับร้อง
กราฟฟิคดีไซค์ โดย กังวาล ทองเนตร


















วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รอยอดีต


เชื่อไหมว่า 
ทุกวินาทีที่ผ่านไป
เวลา..มันสะสมอดีตและความทรงจำของเราเอาไว้มากมาย
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ที่เจ้าเวลามันเก็บงำและกลืนกิน
ความทรงจำของเราเอาไว้

หลายครั้งที่เราทำเป็นเหมือนไม่อยากสนใจ
ทำเป็นเหมือนไม่อยากรับรู้
ทำเป็นเหมือนว่า ไม่มีอะไร
แต่..
ทุกครั้งที่หัวใจเราเดินไปสะดุดอะไรซักอย่างเข้า
จนเรารู้สึก เหนื่อย ล้า ท้อ
กล่องความทรงจำในอดีต ที่เจ้าเวลามันเก็บงำเอาไว้
ก็มักจะถูกเปิดออกมา ฉายภาพวนเวียนไปมา ในสมอง
ในความทรงจำของเรา

หลายครั้ง
เราเห็นภาพเขา หรือเธอคนนั้น
เหมือนว่าเขาหรือเธอ เพิ่งจะคุยกันและเพิ่งจะลุกเดินออกไป
เบื้องหลังภาพความทรงจำเหล่านั้น
มันมักจะแฝงไปด้วย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
ความเจ็บปวด คราบน้ำตา และอะไรบางอย่างที่บอกใครไม่ได้ แฝงไว้อยู่เสมอ

หลายครั้งที่คิดถึงใครซักคน
ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเงาของกันและกัน
คิดถึงภาพที่เดินหิ้วถุงข้าวสาร
ที่ซื้อมาจากร้านขายข้าวสาร
ถุงละไม่เกิน 2 กิโล
คิดถึงภาพเธอหุงหาอาหารจัดแจงให้
ยามเราจน ซื้อข้าวกินครั้งละกิโลสองกิโลก็มีความสุข
ซื้อหมูปิ้ง สองไม้ ข้าวเหนียวอีกห่อ
ก็กินกันอย่างอิ่มเอมใจ

นึกภาพที่เคยไปเดินเล่นสวนสาธารณะ
ซื้อน้ำแก้วเดียว ลูกชิ้นย่างไม้เดียว
แล้วมานั่งกินกันที่ตรงเก้าอี้ตัวนั้น
เธอนอนหนุนตักฉัน
ฉันนอนหนุนตักเธอ
สลับผลัดเปลี่ยนกัน เธอยื่นไม้ลูกชิ้นย่างส่งใส่ปากเรา
เราก็ส่งคืนให้เธอบ้าง แล้วดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ดูดน้ำหลอดเดียวกัน
เท่านั้นก็สวรรค์แล้ว

ภาพรัก ภาพหลอนในอดีต
มันมักมีมนต์ขลัง เรียกน้ำตา
และตอกย้ำความทรงจำให้กับเราเสมอ ทุกครั้งที่กล่องกาลเวลามันถูกเปิดมา

บางครั้งเราผ่านไปย่านเก่าที่เคยอยู่
หรือสถานที่ที่เราเคยทำงาน
เราก็มักจะเห็นภาพความทรงจำเหล่านั้น ลอยวน
เต็มหน้าเรา ต้นไม้ต้นนั้น เขาหรือเธอเคยมายืนคอย
โทรศัพท์สาธารณะตู้นั้นเราเคยใช้ โทรหาเธอ
ตรงโน้นคือที่ที่เธอเคยทำงาน

มันอดไม่ได้หรอกเมื่อเราอยู่ในห่วงเวลา อยู่ในสถานที่ที่มันสร้างอดีต
และเก็บงำอดีตเราไว้ อดไม่ได้ ที่เราจะก้าวขาเดินย้อนรอยอดีต อีกสักครั้ง

หลายอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
หลายอย่างยังเป็นหลักฐานให้จดจำ
และผู้หญิงคนนั้นที่เราเคยรัก
ผู้หญิงคนนั้นที่เคยรักเรา
ผู้หญิงคนนั้นที่เคยรู้สึกดีกับเรา

หลายคนยังอยู่ที่เดิม
เคล้าหน้ายังคงเดิม
บุคคลิกภาพเปลี่ยนไป
ท่าทางสุขุม เป็นผู้ใหญ่
แต่ยังคงอ่อนหวาน อ่อนโยน
ด้วยท่าทาง กิริยา มารยาท
น้ำเสียงการพูดจา

ใช่แล้วพวกเธอทุกคนยังคงรักษาอัตลักษณ์
แม้อยากเข้าไปพูดคุยใกล้ๆ
อยากสอบถามสาระทุกข์สุกดิบ

แต่ก็ยังแอบถามตัวเองว่า เพื่ออะไร
รื้อฟื้นสัมพันธ์ความหลังอย่างนั้นหรือ
ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
รังแต่จะสร้างความเจ็บปวด ตอกย้ำแผลในใจให้กันและกันเท่านั้นเอง
บางครั้งการแอบย่องเข้าไปในอดีตของตัวเอง
มันก็ทำให้เราแอบยิ้มได้ ทั้งน้ำตา
เมื่อใดที่ใจเข้มแข็งพอ ก็จงเดินย้อนรอยอดีตเข้าไปดูบ้างก็ได้

อย่างน้อยมันทำให้เรารู้ว่า
ทุกเวลาที่ผ่านไป มันไม่ได้ผ่านไปโดยปราศจากความทรงจำ
มันมักมีความทรงจำทั้งดีและไม่ดีอยู่ในนั้นเสมอ
เพียงแต่เรา อย่าเอาตัวไปฝังยึดอยู่กับอดีต หรือรื้อฟื้นมันขึ้นมาก็พอ
ขอให้ระลึกรู้
แอบดูมันเป็นบางครั้ง
เพื่อเตือนความทรงจำ เตือนการกระทำของตัวเอง
ดูมันให้เป็นบทเรียน ใช้อดีตของเรา เตือนใจเรา
ชีวิตเราทุกคนตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ตราบใดที่เวลายังคงอยู่ มันจะเก็บสะสมอดีตเราไว้เสมอ
ว่างๆก็เปิดมันออกมาดู ย้อนเวลาดูตัวเองบ้าง เดินย้อนเวลากลับไปแอบส่อง
รอยอดีตของเราดูบ้าง แล้วเราจะเข้าใจถึงสัจธรรมความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในรอยอดีตของตัวเราเอง




ภาพรักหลอนใจ สายัณห์ สัญญา ขับร้อง
กราฟฟิคตัดต่อโดย กังวาล ทองเนตร
เสียงจัดรายการโดย อ.ไพบูลย์ ศุภวารี



ลืมไม่ลง สายัณห์ สัญญาขับร้อง
กราฟฟิคตัดต่อโดย กังวาล ทองเนตร









วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อกหักเพราะอะไร



เราอกหักเพราะอะไร
มนุษย์เราเกิดมาบนโลกใบนี้
 น้อยคนนักที่จะไม่เคยพบพากับความอกหักผิดหวัง
ไม่ว่าจะยากดี มีจน สาละวนหนีไม่พ้นความอกหัก ความผิดหวัง
คนจนก็ อกหักผิดหวังแบบคนจน
คนรวยก็อกหัก ผิดหวังตามแบบอย่างของคนรวย
แล้วถ้ามีใครถามว่า
เราอกหักเพราะอะไรกันล่ะ
ก็ต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า
เพราะเราคาดหวังนั่นเอง
สิ่งใดก็ตามที่เราคาดหวังเอาไว้
ยิ่งตั้งความหวังเอาไว้มาก
ถ้าไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังตั้งใจนั้น
มันก็จะยิ่งทำให้เราผิดหวังมากตามไปด้วย เป็นเงาตามตัว
ถ้าเราคาดหวังน้อย ก็ผิดหวังเพียงเล็กน้อย

ความคาดหวังส่วนใหญ่มาจาก
อยากได้ อยากเป็น อยากมี อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของสิ่งนั้น
ความคาดหวัง กับความฝันในวัยเด็ก มักมีผลต่างกัน
ในวัยเด็กเราทุกคนมักมีความฝันอยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่
แต่พอเวลาผ่านไป วัยเปลี่ยนไป สังคมเราเปลี่ยนไป 
เราก็มักมีความฝันใหม่ๆเข้ามาอยู่เสมอ
โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้สึกเสียใจ หรือกระทบกระเทือนใจ
กับความฝันที่ไม่บรรลุผลนั้น

แตกต่างจากความคาดหวังเมื่อเราเติบโต
การที่เราทำอะไรลงไป เรามักจะทุ่มเท แรงกาย แรงใจ
โถมใส่เข้าไปด้วยในความหวังนั้น เพื่อหวังจะให้มันประสบผลสำเร็จ
ตัวอย่างเช่น เราทำธุรกิจ ทำการค้า เราก็หวังว่ามันจะประสบผลสำเร็จ
หวังให้กิจการนั้นเป็นแหล่งรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัวของเราเอง
เมื่อมันไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เราก็จะหมดแรง ถอดใจ

หรือ
เรารักชอบใครสักคน
เราก็มักจะทุ่มเท ทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ให้เธอ
ทั้งนี้ก็เพื่อหวังว่า เขาหรือเธอ จะตอบรับรักนั้นตอบสนองเรา
ทั้งที่บางครั้งเราก็ยังไม่ได้ เปิดโอกาสให้เธอ และเขา ได้เลือก หรือ
พิจารณาเราบ้างเลย
แต่เราเองกลับจะรวบรัด จะมัดมือชก
วิ่งตารีตาเหลือก หาโน่น ซื้อนี่ ติดไม้ติดมือมาเป็นของฝาก ของกำนัล
โดยไม่ทันถามฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำว่าเขาชอบ หรือถูกใจหรือไม่

พอเขาหรือเธอปฏิเสธ ก็เป็นเดือดเป็นร้อนว่าเขาไม่ให้เกียรติ เราบ้างล่ะ
รังเกียจเราบ้างล่ะ อุตสาห์ซื้อหา อุตสาห์แสวงหามาให้ บ้างล่ะ

ความอุตสาหะดังว่านั้น ถ้าจะพูดตามจริง
ก็เป็นเราเองนั้นแหละที่ริเริ่มเอง คิดเอง เออเอง
บางทีเพียงแค่เขายิ้มให้ หัวใจก็อ่อนระทวย เหมือนเทียนต้องไฟ
บางครั้งเพียงแค่เขาคุยด้วย เพราะอยู่บ้านใกล้กัน
หรือทำงานที่เดียวกัน เราก็เก็บไปฝันจะเลยเถิด เตลิดไปจนนอกทาง
พอฝันค้างก็โทษคนอื่น

สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุของความอกหักผิดหวังทั้งสิ้น
แล้วถ้ามีคนถามว่า เราไม่อยากอกหัก ก็ไม่ต้องคาดหวังได้หรือไม่
ก็ต้องตอบว่า
ไม่ได้ เพราะมนุษย์เรา เป็นสิ่งมีชีวิต เป็นสัตว์สังคม
ต้องการความรัก ความอบอุ่น ต้องการการยอมรับจากคนในสังคม
ต้องการแลกเปลี่ยนวิทยาการใหม่อยู่เสมอ

มนุษย์เราต่างจากสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นก็ตรงนี่ มนุษย์เรามี จินตนาการ
มีอุดมการณ์ หรือระบบความเชื่อ ที่สัตว์ไม่มี
ถ้ามนุษย์เราปราศจากอุดมการณ์ ปราศจากจินตนาการแล้ว
มนุษย์เราก็จะลดชั้นตัวเองเป็นเพียงสัตว์ชั้นต่ำเท่านั้นเอง
มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
มีชีวิตอยู่ตามสัญชาตญาณ
อยากก็กิน
ง่วงก็นอน
หิวก็ล่า
ถึงหน้าก็ผสมพันธุ์
ชีวิตที่ไร้สีสัน ไร้ชีวิตชีวาอย่างนั้น
มนุษย์เราอยู่ไม่ได้
เพราะมันไม่มีแรงบันดารใจให้กับชีวิต
มันจะทำให้เราเกิดความเฉื่อยชาในชีวิต

ดังนั้นเมื่อเราขาดสิ้น ความหวังไม่ได้ 
เราจะอยู่อย่างไรไม่ให้อกหัก หรือผิดหวัง
ก็ต้องบอกว่า
ควรใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท
มีความละเอียดรอบคอบให้มากขึ้น
คิดการใดก็คิดให้รอบด้าน ทุกมิติ
อย่าคิดเอาแต่ได้ หรือคิดเข้าข้างตัวเองอย่างเดียว
คิดการใดก็ควรดูกำลังของตัวเอง
ถ้าเราบินตามแรงที่ปีกเรามี
ถ้าเราออกแรงตามแรงที่เรามี แม้จะตก พลาดพลั้งบ้างบางครา
เราก็คงไม่ถึงกับต้องเจ็บช้ำมากจนเกินไป

ถ้าเจอคนถูกใจ
ก็อย่าคิดไปไกลว่า เธอคือแม่ของลูกเรา
 เขาคือพ่อของลูกเราในอนาคต

แค่ยิ้มให้กันก็สมหวังแล้ว
วันที่สองยิ้มให้กันอีกก็อาจมีพูดคุยทักทายกัน
ก็เกินหวังไปอีกขั้น
วันที่สามทักทายกัน มีปัญหาปรึกษาหารือกัน
ก็ยิ่งเพิ่มความใกล้ชิด
วันที่สี่แลกเบอร์โทร ก็กำไรมากแล้ว
วันที่ห้า ถ้าใครขอแต่งงาน
วันที่หกก็ตกม้าตาย

ความรักต้องเป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย
ใส่ความจริงใจ ถอดหน้ากาก ไม่ดัดจริต
แสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
ให้กันและกันเห็น
อย่าปั้นหน้า อย่าวางท่า อย่าอวดฟอร์ม
อย่าทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติมนุษย์ธรรมดา
กิริยาเหล่านี้ มันจะถูกซึมซับจากฝ่ายตรงข้าม
โดยที่เขาหรือเราก็ไม่รู้ตัว
แล้วความอกหักจะหาเราไม่เจอ



รักพี่ได้ไหม
คำร้อง- ทำนอง กังวาล ทองเนตร
ขับร้องเป็นไกด์ไลน์ โดย กังวาล ทองเนตร

 กังวาล ทองเนตร เจ้าของลิขสิทธิ์เพียงผู้เดียว





วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รากเหง้าเราเดิม




มนุษย์เรา 
แม้จะออกจากป่าจากถ้ำมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
แม้เราจะสร้างสังคมเมืองขึ้นให้น่าอยู่เพียงไรก็ตาม
ก็ไม่ใช่เครื่องมือวัดว่า นั่นคือความสุข ความต้องการที่แท้จริงของเรา
แม้จะอยู่ในสถานที่โอ่โถง หรูหรา 
รายล้อมด้วยบริวาร แก้วแหวน เงินทอง
 และสิ่งความอำนวยความสะดวกอื่นๆมากมาย
ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่า มนุษย์นั้น เข้าถึงจุดสูงสุดของความสุขแล้วแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม
มนุษย์ยังโหยหา ธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา
จิตใต้สำนึกที่แท้จริงของมนุษย์ ยังคิดถึงพื้นเพเดิมของชีวิต
ยิ่งมนุษย์ใฝ่หา สิ่งอำนวยความสะดวกมากเท่าใด
ก็ยิ่งเป็นการประกาศว่า เขาเหงา อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว

เพราะสิ่งบันเทิง สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้น
แท้จริงแล้วมันเป็นเพียง เครื่องกล่อม
กล่อมยามที่คนเรา โหยหา ถวิลหา
ยิ่งโหยหา ยิ่งถวิลหา คนเราก็ยิ่งพยายามจะลดดีกรีความต้องการนั้นลง
ด้วยการ พึ่งพาสิ่งกล่อมอารมณ์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น

มนุษย์ในเมือง ยิ่งต้องการแสวงหาสิ่งกล่อม เหล่านั้น
 มากยิ่งกว่าคนที่อาศัยอยู่ในชนบท
คนในเมืองสร้างสิ่งกล่อม สิ่งย้อมอารมณ์ขึ้นมามากมาย
ไม่ว่าจะเป็นสถานบันเทิง โรงหนัง โรงละคร
เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง
ให้มีชีวิตต่อไปได้

บางคนก็ซื้อหา ไม้ดอก ไม้ประดับเล็ก มาใส่กระถาง ตั้งไว้
ตามหน้าบ้าน หน้าประตู ระเบียงหน้าต่าง โต๊ะทำงาน
เพื่อลดแรงกดดัน ลดแรงต้องการของจิตใต้สำนึกลง
บางครั้ง ก็แบกกระถางต้นไม่เหล่านั้น มาอวดกัน แข่งขันกัน
หรือแลกเปลี่ยนกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความสุขซึ่งกันและกัน

มันไม่ใช่ความผิดที่เรามีความต้องการเช่นนั้น
เพราะนั่น มันคือวิถีชีวิตดั้งเดิม และแท้จริงของเรา
และมันยังคง จะดำเนินอยู่อย่างนั้นตลอดไป

ยิ่งเราพยายามจะหนี ธรรมชาติ มากเท่าใด
ยิ่งเราพยายามจะเอาชนะธรรมชาติมากเท่าใด
เรายิ่งต้องน้อมกาย ยอมตนเข้าหาธรรมชาติมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ทั้งหมดนี้มันเป็นวิถีชีวิต ที่ถูกดัด ดัดแปลงไปจากของเดิม
ตามที่มันควรจะเป็น จะดำเนินไป เราดัดแปลงวิถีชีวิต
ให้ไกลจากธรรมชาติ เพื่อจะลบคำว่า 
ล้าหลัง ออกจากใจตัวเอง
หลายคนไม่มีความสุขกับ พื้นฐานความเป็นมนุษย์ที่มีแต่เดิมของตน
และเพื่อต้องการ ปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพสังคม ที่เป็นอยู่
 เพื่อให้ได้ การยอมรับจากสังคมรอบข้าง
จึงพยายามลบล้าง ความเป็นจริงที่ติดตัวมา ให้ออกไป
แต่ยิ่งล้าง ยิ่งลบ ยิ่งกลบ ก็ยิ่ง ห่างไกล และโหยหา

หลายครั้งเราแอบหลบสายตาของสังคมรอบข้าง
เพื่อไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ไปนั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้
ไปนั่งเล่นข้างริมธาร แอบไปฟังเสียงนก เสียงกา
 เสียงจั๊กจั่น เสียง หรีดหริ่ง เรไร

ทั้งนี้ก็เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ ที่เหมือนดั่งว่ากำลังป่วย
ป่วยจากการ บีบคั้น ป่วยจากแรงกดดัน
ป่วยจากวิถึชีวิตแบบใหม่
ที่ซื้อหา แลกเปลี่ยนมาด้วย เงินตรา
เพื่อที่จะให้ตัวเองได้รับการยอมรับเท่านั้นเอง

ความสุขที่แท้จริงมันอยู่เพียงแค่
อีกด้านหนึ่งของความคิดเรา ที่ปรุงแต่งขึ้นเท่านั้น
ลองหันกลับมา แล้วเราจะเห็นมัน
เงินตรา ซื้อหา สิ่งของ วัตถุต่างๆได้
แต่ซื้อความสุขที่แท้จริง ไม่ได้เลย
ถ้าเราต้องการ ก็ถอยความคิดกลับมา
ใช้ชีวิต ตามที่เราควรจะใช้แต่เดิม
ตั้งแต่เราลืมตาออกมา
ถึงแม้เราจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย
วันหนึ่งเราก็เป็นทุกข์ เพราะห่วงมัน

จำไว้เสมอว่า ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของอื่นใด
มันไม่จากเราไป เราก็ตายจากมัน

มันจะเป็นเช่นนี้อยู่ดี
เพราะสุดท้ายคนเราก็ต้องหวนกลับมายังวิถีดั้งเดิม
 คือ เกิด แก่ เจ็บ และ ตาย
จงอย่าเสียเวลาเดินหนีมัน
แต่จงเก็บแรง ใช้ชีวิตอยู่กับมัน
หาความสุขกับมัน อย่างรู้เท่าทัน
เพราะมันคือรากเหง้าเดิมของเรา


รอพี่ที่สวรรค์
คำร้อง- ทำนอง โดย กังวาล ทองเนตร
ขับร้องเป็นไกด์ไลน์ โดย กังวาล ทองเนตร


ชั่งเถอะฉันมันจน
คำร้อง- ทำนอง โดย กังวาล ทองเนตร
ขับร้องเป็นไกด์ไลน์ โดย กังวาล ทองเนตร








วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การเลื่อนชั้นทางชีวิต


เพื่อนทั้งหลาย จำได้หรือเปล่า ตอนที่เราเรียนหนังสือ
ชีวิตในวัยเรียนของเรา มันชั่งแสนสนุก มีชีวิตอยู่ท่ามกลางแวดวงผองเพื่อน
ชีวิตของเราไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไร ทุกอย่างซึ่งเป็นภาระหนัก
 มันไปอยู่บนบ่าของพ่อของแม่เราเสียหมด
 ดังนั้นชีวิตในวัยเรียนของเรา 
เป็นช่วงที่เราทุกคนมีความสุขที่สุด
แต่ในความเป็นมนุษย์
 มันก็เลี่ยงเสียไม่ได้ที่เราจะต้องมีภาระ ความรับผิดชอบ
 แม้เราจะไม่อยากทำก็ตาม


ชีวิตที่แสนสนุกสนานในวัยเรียนของเราก็เช่นกัน
 สิ่งที่ทุกคนไม่อยากเจอ ไม่อยากเผชิญมัน

หลายคนคิดว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด 
ในชีวิตวัยเรียน หลายคนอยากหลบเลี่ยง
 อยากหนีไปแต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้


นั่นคือการเดินเข้าสู่การสอบ การสอบไล่ เป็นสิ่งที่วัยเรียนต้องพบเจอมัน
 แม้เราไม่อยากเจอมัน
แต่เราก็ต้องเจอ นั่นก็เพราะ การสอบไล่ เป็นปราการด่านสุดท้าย
ที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้

การที่เราเดินมาถึง การทดสอบ เดินมาถึงปราการหลักใหญ่นี้ 
มันบ่งบอกว่าเรา ได้เดินมาจนสุดทางในช่วงชีวิตช่วงนั้นแล้ว


การที่เราจะก้าวขาข้ามไปยังช่วงชั้นชีวิตใหม่ได้ เราก็ต้องผ่านการทดสอบ
 ผ่านการพิสูจน์ตัวเราเองเสียก่อนว่า เรามีคุณสมบัติ 
ที่จะเลื่อนชั้น ไปยังชั้นที่สูงขึ้นหรือไม่ ถ้าเราผ่านมันไปไม่ได้

เราก็ยังไม่สามารถบอกใครได้เลยว่า เรานั้นผ่านชีวิต
 ผ่านเส้นทาง ผ่านอุปสรรคที่เขาวางมันไว้ เพื่อทดสอบเราอย่างไร


หลายคนพอเจอด่านทดสอบ ก็พยายามที่จะหลบเลี่ยงไปเสียให้ได้ 
ไม่กล้าเผชิญกับมัน
ทั้งที่ มันเป็นด่านพิสูจน์ตนเอง 
และเป็นปราการด่านสุดท้ายในแต่ละช่วงชีวิต
 ที่เราจะต้องพบเจอ

ยิ่งเราเรียนหนังสือในช่วงชั้นที่สูงขึ้น ด่านทดสอบนี้ ก็ยากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
 ถ้าเรามัวแต่หลบ มัวแต่ไม่กล้าพิสูจน์ตัวเอง เราก็ไม่มีทางที่จะก้าวขาข้ามมันไปได้
 เราก้ยังเป็นเพียงแค่เด็กอนุบาลแรกเข้า โดยที่ไม่เคยผ่านด่านทดสอบ
 ทั้งที่เราสมควรจะผ่านด่านแรกนี้ 
ไปแล้วเสียตั้งนาน


เมื่อรู้เสียอย่างนี้แล้ว ก็จงภูมิใจที่เราได้เข้าสู่ด่านทดสอบ ครั้งแล้วครั้งเล่า 
เพื่อวัดความเป็นคนของเรา วัดจิตใจของเรา วัดระยะทางที่เราเดินมา 
ว่ามาถึงไหนแล้ว ยิ่งเราผ่านการทดสอบมากเท่าใด ก็ยิ่งประกาศศักดา
 ประกาศศักยภาพ ว่าเรามีความพร้อม ที่จะเตรียมตัวเข้าสู่ ระบบสังคม
 เตรียมตัวเข้าสู่เส้นทางในสังคม เตรียมตัวออกจากวัยเรียน 
เพื่อไปใช้ชีวิตในสังคม



ซึ่งชีวิตในสังคมที่เราจะต้องเรียนรู้ มันยากเย็น
 ยิ่งกว่าด่านทดสอบในห้องเรียน 
ซึ่งในเวลานั้น ชีวิตเรา อาจไม่มีแล้ว บ่าของพ่อแม่
ที่มาช่วยเราแบกภาระแทนเราไว้ แม้เราจะต้องการก็ตาม

ทุกเส้นทางชีวิต ล้วนมีด่านทดสอบเราเสมอ 
จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม เพื่อรอรับกับมัน


จงจำและระลึกไว้เสมอว่าทุกครั้งที่เราเจอปัญหาใหญ่ในชีวิต 
นั่นแสดงว่าเราเดินทางมาถึงจุดที่เรากำลังจะก้าวข้ามช่วงชั้นทางชีวิต
 ก้าวข้ามช่วงชั้นชีวิตทางสังคม เพื่อเข้าไปสู่ช่วงชั้นทางสังคมใหม่
 ที่ใหญ่กว่า และสูงขึ้นไปอีก และตราบใดที่เรา ยังมีชีวิตอยู่
 การทดสอบก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป



เพราะมันจะเป็นการวัดเราว่าสมควรมีชีวิตอยู่ต่อ หรือยอมพ่ายแพ้ให้กับมัน
 และมันยังเป็นการประกาศเลื่อนฐานะทางสังคมของตนเองให้สูงขึ้นไปพร้อมกันด้วย 
มันเป็นความยุติธรรมทางธรรมชาติ ที่ผู้ผ่านการทดสอบจะมีชีวิตที่ดีขึ้นสูงขึ้นเป็นลำดับ



เราลองมองย้อนหลังกลับไปดูก็ได้ว่า ในชีวิตเราผ่านการทดสอบมาแล้วกี่ครั้ง
 และที่เรามายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ เพราะอะไร นั่นก็เพราะเรา ผ่านปราการด่านสุดท้ายในแต่ละช่วงชีวิตมาแล้วทั้งสิ้น ถ้าเรายังไม่กล้าที่จะเดินเข้าห้องสอบ ป่านนี้ชีวิตเรา
 คงอยู่แต่ในห้องอนุบาล ที่มีครูพี่เลี้ยงคอยประคบประหงม มีพ่อมีแม่คอยฉุดดึง 



และคนพวกนั้นก็คงไม่ภูมิใจเลยที่เราไม่เติบโต ไม่กล้าเผชิญปัญหา 
ท่านคงตายตาไม่หลับเพราะห่วงลูกแหง่อย่างเรา ทำไมเราไม่เดินเข้าไปหามัน เผชิญมัน
 ในเมื่อเรารู้ว่า มีความสำเร็จอยู่ข้างหลังด่านปราการนั้นรอเราอยู่ 
มีเกียรติยศ มีชุดเครื่องแบบทางสังคม
เตรียมรอเราให้ไปสวมใส่อยู่

เมื่อเราแข็งแกร่ง เมื่อเรามีประสบการณ์ เราจะได้กางปีก ยื่นมือ 
และเอาบ่าของตัวเองมาแบกภาระทั้งหลายแทนผู้อื่นและพ่อแม่ของเรา


เพื่อนเอย ด่านนี้รออยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าก็เคยรู้แล้วว่าเมื่อเจ้าผ่านมันไปได้ 
ชีวิตของเจ้าก็จะเข้มแข็ง เติบใหญ่ขึ้น เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่า 
ข้างหลังด่านนั้นมียาชูกำลังให้เจ้าเดินต่อไปได้อีก

มีเกียรติยศทางสังคม รอเจ้าอยู่ เจ้าจงเดินเข้าไป พิสูจน์ตัวเอง 
ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะผ่านมันไป และหยิบถือเอาของรางวัลนั้นไปด้วย
 เพราะมันคือรางวัลของคนจริง รางวัลของคนกล้า รางวัลของคนมีฝัน
 เจ้าจงอย่าเป็นคนขี้แพ้ ยอมละทิ้ง และหนีมันไป
 เพราะนี่มันคือ เส้นทาง
 การเลื่อนชั้นทางสังคมของเจ้าเอง



สุดคิดถึง สายัณห์ สัญญา ขับร้อง พี่ก้องทำ ตัดต่อเรียบเรียง กราฟฟิก