วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คอย


คอย

เช้าก็คอย เย็นคอย แล้วคอยเก้อ
ฉันคอยเธอ จนเหม่อ พร่ำเพ้อหา
คอยฟังเสียง โทรศัพท์ ดังขึ้นว่า
ทุกเวลา  คอยเปล่า เศร้าหัวใจ
หลอกให้ฉัน เฝ้าเพ้อ เหม่อตาลอย
เธอมีสุข เลิศลอย อยู่ที่ไหน
ไปจ๊ะจ๋า วางท่า  อยู่กับใคร
แล้วทำไม หัวใจ ชั่งแสนดำ
บอกฉันว่า จะพา ไปดูหนัง
ฉันได้ฟัง น้ำคำ แล้วดื่มด่ำ
เร่งจัดแจง ชุดสวย ด้วยเชื่อคำ
รอจนค่ำ ยังไร้ เงาของเธอ
โทรศัพท์ ก็มี ที่โทรหา
เมื่อก่อนหน้า โทรมา อยู่เสมอ
เธอเป็นตาย ร้ายดี อย่างไรเธอ
ถึงได้ปล่อย  ฉันเก้อ เหม่อมองทาง




ผีหรือคน


ผีหรือคน

เธอเป็นผี หรือไง จึงได้หลอก
ทำปลิ้นปลอก หลอกลวง ให้ฉงน
หลอกให้รัก ให้หลง ให้วกวน
สัปดี้ สีปดล คนอะไร
มาออดอ้อน คำหวาน หว่านลมลิ้น
ใครได้ยิน หามี ที่รอดได้
หลงคำหวาน ลิ้นลวง ติดบ่วงไฟ
ยอมเอาตัว เข้าไป ใกล้คนลวง
ทำให้รัก  สักพัก ก็แสร้งหนี
ไม่ใยดี ไม่มี คอยห่วงหวง
ในหัวใจ ของเธอ นั้นแสนกลวง
เธอหลอกลวง ดั่งผี ที่หลอกคน












วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

นี่คือฉันเอง



จนแต่หยิ่ง นี่คือสิ่งที่ฉันมี
ฉันหยิ่งกับทุกคนที่มองคนด้วยสายตาที่เหยียดหยามคน
ฉันหยิ่งกับทุกคนที่คิดว่าความเป็นคนของตนเองมีมากกว่าคนอื่น
ฉันหยิ่งกับทุกคนที่คิดจะซื้อชีวิต และความเป็นคนของฉัน ไปจากฉัน
ฉันหยิ่งกับทุกคนที่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกใบนี้แต่ผู้เดียว





แม้ยังอยู่ สู้ไป ไม่ถอยหนี
แม้จะมี  อุปสรรค  มากแค่ไหน
แม้ศัตรู  ผู้นั้น  จะเป็นใคร
แม้จะตาย  ก็พร้อม  เพื่อความจริง

  • นี่แหละฉันเอง : ก็อย่างที่รู้ ก็อย่างที่เห็น ก็อย่างที่เป็น ก็แค่นั้นเบื่อชีวิตที่จำเจ ซ้ำซาก ดักดาน ชีวิตในกรง
  • ชอบ : อิสระ เสรี เหมือนนกป่า เหมือนม้านอกคอก โบยบินไปมันทุกที่ที่อยากไปไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุด มุ่งมั่น แสวงหา ท้าทาย วัดกับมัน
  • เกลียด : อยุติธรรม กดขี่ ข่มเหง 
  • คติประจำใจ : ไม่หนีความจริง ไม่ทิ้งสัจจะ ไม่ละความเพียร  ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

กลัวอะไรถ้ามันมีทุกอย่างเหมือนเรา
สองมือ สองแขน สองขา เท่ากัน
เรามีสมองเป็นอาวุธเด็ด ที่จะใช้ล้มล้างมันได้
  • ผู้หญิงนะเหรอ : พวกเธอคือสิ่งที่งดงามที่สวรรค์ส่งมาปลอบประโลมโลก บางคนผิวสวย บางคนตาสวย บางคนผมสวย บางคนขาสวยบางคนเสียงสวย ผู้หญิงสำหรับเรา เธอสวยทุกคน สวยคนละอย่าง
  • แต่ถ้าคนข้างกาย :ง่ายๆไม่เรื่องมาก อ่อนหวาน ไม่อ่อนแอ สู้แต่ไม่หยาบกระด้างมีความคิดที่เปิด ไม่แบกโลก ไม่เป็นศูนย์รวมแห่งปัญหารับการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญ สมองต้องมี เพราะเธอคือคนที่จะมาเป็นแม่ของลูกเรา  ครูของลูกเรา และ ภรรยาของเรา สามารถดูแลและปกป้องลูกเราได้ ยามที่เราต้องจากไป อยู่ใกล้แล้วหมดทุกข์ หมดปัญหา ไม่ใช่ที่เพิ่มปัญหา ก็แค่นั้น

กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

กลองดังระฆังดี







กลองดังระฆังดี ต้องมีคนตีถึงจะดัง
ถ้ากลองหรือระฆังใดส่งเสียงดังขึ้นมาได้เองโดยไร้คนตี กลองหรือระฆังนั้นอัปรีย์เต็มทน
เสมือนคนที่กล่าวอ้างความดีของตนเองต่อหน้าสาธารณะชน
บุคคลนั้นพิกลพิการทางจิตใจ และไร้ความดีดังที่กล่าวอ้าง
เช่นกลองดังระฆังดี ไม่ควรที่จะดังโดยไร้คนตี



















เสรึภาพ




เธออย่าคิด กักขัง  หัวใจฉัน
เธออย่าฝัน กักล่าม  ใจฉันไว้
ฉันขออยู่  อิสระ  ตลอดไป
อย่ามาขัง  ใจฉันไว้  ในคอกเธอ


อิสรภาพคือกฎของธรรมชาติที่มีติดตัวมากับสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เกิด
การจำกัดเสรีภาพ ของสิ่งมีชีวิตไว้ในกรงขัง ไว้ภายใต้กฎเหล็กของตัวเอง
จึงเป็นสิ่งที่ฝืนกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติมาแต่ต้นแล้ว


มีเกิดที่ไหนมีตายที่นั่น





ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่น ย่อมมีการตาย 

เป็นปกติธรรมดา สามัญโลก

ไม่มีบ้านหลังใดเลยที่ไม่มีการตายเกิดขึ้น




สัจธรรมของโลก ล้วนแฝงอยู่ในตัวของมันเอง

ทุกปัญหาล้วนต้องมีปัญญาและสัจธรรมแฝงเร้นอยู่ข้างในเสมอ







แม้เกิดจากโคลนตม

แต่ก็งามสม น่าบูชา

อนิจจัง สอนเราให้รู้ว่าค่าของเรา มิได้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่เกิด

เชื้อชาติพันธุ์ วงศ์สกุล หาใช่สิ่งยืนยันการเป็นคนดีไม่







   

เป้าหมายชีวิต





การดำเนินชีวิต ต้องเป็นไปอย่างมีเป้าหมาย


มีการวางแผน กำหนดเป้าหมายที่เราจะเดินไปเอาไว้ล่วงหน้า


ทั้งนี้เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า การดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบแผนงาน


หรือเป็นไปตามเป้าหมายหรือความฝันของเราหรือไม่


มิเช่นนั้นก็เหมือนกับเราเดินไปอย่างไร้ทิศทาง


นอกจากจะไม่มีจุดมุ่งหมายแล้วยังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย


หลังจากที่เกิดมาแล้วมนุษย์ได้ใช้เวลามากมายในการเติบโต


และเวลานี้ทั้งหมดต้องพึ่งพาคนอื่นทั้งสิ้น


ไม่ว่าจะเป็นบุพการีช่วยเลี้ยงดู


หรือผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนอื่นๆ



กว่า

ที่มนุษย์จะรับผิดชอบตัวเองได้

บางคนก็อายุกว่า 30 ปี บางคนแม้ 30 ปียังพึ่งพาคนอื่นอยู่เลย

ไหนจะเสียเวลาลองผิดลองถูกกว่าจะค้นหาตัวเองเจอและเดินได้ถูกทาง

เส้นผมที่เคยดำก็เริ่มขาวเสียแล้ว

นั่นหมายความว่าเรามีประสบการณ์เต็มที่

มีความพร้อมเต็มที่ในเวลาที่ร่างกายเราเริ่มโรยรา

หลายคนขึงตายไปพร้อมกับความรู้และการศึกษา

โดยที่ยังไม่ได้ถูกนำเอามาใช้อย่างน่าเสียดาย











การกำหนดเป้าหมายก็เหมือนกับการยิงธนูออกไป


ซึ่งจำเป็นต้องมีเป้าหมายเสียก่อน เราจึงยิงออกไปให้เข้าเป้าหมายนั้น








บางคนยิงออกไปโดยที่ไม่มีเป้า

แต่กลับใช้สีแต้มที่ลูกธนูเพื่อทำตำหนิเอาไว้

เมื่อยิงออกไปก็ตามหาลูกธนูที่ไร้เป้าหมายนั้นจนเจอ

แล้วจัดการถากถางกำหนดจุดพ่นสีลงไปยังบริเวณที่ลูกธนูนั้นปักอยู่

เพื่อทำเป้าแล้วร้องบอกผู้คนว่าตัวเองยิงธนูเข้าเป้า

ทั้งที่ตนเองเพิ่งพ่นสีทำเป้าภายหลังจากที่หาลูกธนูนั้นเจอ

แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการหลอกตัวเองและผู้อื่นว่าตนเองประสบความสำเร็จแล้วในชีวิต





กังวาล ทองเนตร








ท.ท.ท.ทำทันที





เธอรู้ไหมหลายครั้งที่เรารู้สึกว่า เราไร้ค่า นั่นเป็นเพราะว่า เราเองดูถูกตนเองไม่เห็นค่าตัวเอง

บางครั้งเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนเลย นั่นเป็นเพราะว่าเรามัวแต่รอคนอื่นพาไป

บางครั้ง เรารู้สึกว่าเรา ไม่ได้กินอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า เรามุ่งฝากท้องไว้กับคนอื่น

หลายครั้งที่เราไปขอโอกาส ของานเขาทำ แต่กลับถูกปฏิเสธเรื่อยมา



จงเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่


ถ้าอยากกินอะไร ถ้ามันไม่เกินกำลัง มันไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป ก็กินไปเลย
ถ้าเราอยากไปเที่ยวไหน ก็วางโปรแกรมเวลา ลงตัว ก็ไปทันทีไม่ต้องรอคนอื่นมาชวนหรือรอเขาพาไป
การที่เราอกหักก็เป็นเพราะเราไปให้ความสำคัญกับตัวคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง เราเฝ้าง้องอน วิ่งไล่วิ่งตามคนอื่นมากไป
จงหยุดการกระทำนั้น และหันมาให้ความสำคัญกับตัวเอง ให้โอกาสตัวเอง
ตรวจสอบความรู้ความสามารถของตนเอง และขุดความสามารถของตนนั้นออกมา สร้างสรรค์มัน
โดยไม่ต้องไปรอโอกาสจากใคร แต่จงสร้างโอกาสให้ตนเอง


ตามคำสอนของพุทธองค์ อัตตาหิอัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ถ้าตนเป็นที่พึ่งของตนไม่ได้ แล้วเราจะไปพึ่งใคร และใครจะพึ่งพาเราได้
ทุกความคิด ทุกความรู้ ถ้าไม่ผิดศีลธรรม จรรยา ถ้าไม่ผิดกฎหมาย ถ้าไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จงทำทันที

ท.ท.ท. ทำทันที
แล้วเธอจะรู้ว่าที่แท้เราก็มีค่า และสามารถให้โอกาสคนทั่วไปได้


กังวาล ทองเนตร


รูปโฉมโลมพรรณ





เธอทั้งหลาย
จงจ้องมองฉัน
มองอย่าได้ละสายตา






มองที่หน้าอกฉันมองทุกสัดส่วนของฉัน มองให้ลึกเข้าไป
มองทะลุผิวหนังของฉันลงไป เธอเห็นหรือยัง
ลึกลงไปจากเนินอกสีขาวอวบอิ่มของฉัน ผ่านผิวหนังเข้าไป มันมีน้ำเลือด
มีน้ำเหลือง มีเส้นเลือด มีกลิ่นคาว มีเนื้อ มีกระดูก ที่เกาะยึดติดกันอยู่ เป็นโครงร่างของฉัน







เธอเห็นไหม ว่าฉันเกิดขึ้นภายใต้หลักขันธ์ 5 ที่ประกอบไปด้วย


1.) รูปขันธ์  ขันธ์ 5 คืออะไร
สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน (ดูแผนผังด้านล่างประกอบ) คือ

1.) ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย

ซึ่งรวมเรียกว่ารูปขันธ์ (ขันธ์ = กอง หมวด หมู่)

2.) ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด และความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ แยกได้ 4 ชนิดคือ
2.1) เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรืออทุกขมสุขเวทนา(เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์)

2.2) สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)

2.3) สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง

2.4) วิญญาณขันธ์ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ

ตั้งแต่ ข้อ 2.1 จนถึงข้อ 2.3 และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย


3.) นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง
หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันธ์ในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย

นิพพาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลีนั้น ว. กับ พ. ใช้แทนกันได้ วาน จึงเท่ากับ พาน) นิ = พ้น

วาน = สิ่งที่เกี่ยวโยงไว้ ได้แก่ ตัณหาคือความทะยานอยาก และอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง

นิวาน หรือนิพพาน แปลตามตัวจึงหมายถึงความพ้นจากเครื่องเกี่ยวโยง(ตัณหาและอุปาทาน) นั่นเอง

สรุปแล้วขันธ์ 5 ประกอบด้วย

1)รูปขันธ์
2.) เวทนาขันธ์

3.) สัญญาขันธ์

4.) สังขารขันธ์

5.) วิญญาณขันธ์

โดยที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์รวมเรียกว่าเจตสิก ซึ่งแปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ (ในภาษาบาลีนั้นสระ อิ กับสระ เอ ใช้แทนกันได้ เจต จึงเท่ากับ จิต นั่นเอง) คือจิตและเจตสิกจะเกิดและดับพร้อมกันเสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนามขันธ์ตัวไหนจะแสดงตัวเด่นกว่าตัวอื่นเท่านั้นเอง

ขอบคุณ




ที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=78.0









ฉันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ตามหลักไตรลักษณ์ ตามคำสอนพุทธองค์นั่นเอง
ความงาม หรือไม่งาม ล้วนเกิดจากการที่จิตใจเราปรุงแต่งทั้งสิ้น
เธอลองคิดว่าฉันเป็นแม่ เธอสิ เป็นพี่สาวเธอ เป็นน้องสาวเธอ
แล้วความรู้สึกเธอก็จะเปลี่ยนไปทั้งที่เธอมองฉันที่เดิมคนเดิม




ความละเอียดรอบคอบ



จุกกับแกะ 



จุกกับแกะเป็นเด็กกำพร้า ที่หลวงตาเก็บมาเลี้ยง ที่วัด 
ทั้งสองได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากหลวงตาเป็นอย่างดี

วันหนึ่งระหว่างที่หลวงตาและศิษย์น้อยกลับจากบินฑบาตร 
และได้ยินเสียงหมาที่เลี้ยงไว้ส่งเสียงร้อง

หลวงตาจึงสั่งให้ทั้งสองไปดู ว่าเกิดอะไรขึ้น

แกะรีบวิ่งไปอย่างเร่งรีบ ส่วนจุกเดินไปอย่างช้าๆ ซักครู่ 
แกะก็วิ่งสวนกลับขึ้นไปรายงานหลวงตา
หลวงตาครับ หมาออกลูกครับ 

เหรอออกลูกกี่ตัวล่ะเจ้าแกะ หลวงตาถาม

เจ้าแกะไม่ได้นับด้วยเร่งรีบจะมารายงานหลวงตาก่อนเจ้าจุก 
พอหลวงตาถาม เจ้าแกะก็รีบวิ่งลงไปนับลูกหมา

แล้วก็รีบวิ่งขึ้นมารายงานหลวงตา 

หลวงตาครับลูกหมาออกลูก 6 ตัวครับ
เออดี..แล้วมีตัวผู้ตัวเมียกี่ตัวล่ะเจ้าแกะ หลวงตาย้อนถามอีกครั้ง
เจ้าแกะซึ่งยังไม่ได้พิจารณาดูก็วิ่งลงไปดูใหม่อีกครั้ง


ในขณะที่เจ้าแกะกำลังวิ่งลงไปเพื่อไปดูลูกหมาว่าเป็นตัวผู้ตัวเมียกี่ตัวกันแน่
 เจ้าจุกก็เดินสวนขึ้นมา

ว่าไงเจ้าจุก หลวงตาถาม เจ้าจุก

แม่หมามันออกลูกครับหลวงตา มีทั้งหมด 6ตัว เป็นตัวผู้ 4 ตัว ตัวเมีย 2 ตัวครับ
และเป็นลูกหมาสีดำ 3 ตัวเหมือนแม่มัน อีก 2 ตัวสีแดง ส่วนอีกตัวหนึ่ง สีขาวปนดำครับหลวงตา

ขณะที่เจ้าจุกกำลังรายงานหลวงตาอยู่นั้น เจ้าแกะก็วิ่งหอบแฮกๆขึ้นมา
 และกำลังจะเอ่ยปากรายงานหลวงตา


หลวงตาก็พูดขึ้นว่า เองไปหาน้ำหาท่ากินซะก่อนเถิดว่ะไอ้แกะเอ๊ย 
เองไม่ต้องรายงานข้าแล้ว เพราะไอ้จุกมันบอกข้าหมดแล้ว

และแล้วหลวงตาก็เรียกศิษย์ทั้งสองมาอบรมสั่งสอน

เจ้าแกะเองไปคนใจร้อนใจเร็วไม่ละเอียดรอบคอบ ต่อไปจะต้องใจเย็นรอบคอบมากกว่านี้

ส่วนไอ้จุก แกเป็นคนรอบคอบสุขุม ละเอียด ต่อไปในอนคต พวกเองต้องดูแลซึ่งกันและกันให้ดี

หลวงตาจะสอนวิชาหมอยาพื้นบ้านให้พวกเองทั้งสอง 
จะได้เป็นวิชาติดตัวไว้ทำมาหากินยามที่พวกเองเติบใหญ่


เมื่อทั้งสอง เติบใหญ่ หมอแกะและหมอจุก
 ต่างนำวิชาหมอยาพื้นบ้านไปประกอบอาชีพทำมาหากิน

โดยหมอแกะ เปิดสถานพยาบาลอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น
ส่วนหมอจุกไปเปิดสถานพยาบาลอยู่ห่างไกลออกไป


สถานพยาบาลของหมอแกะ
 ถูกผู้คนต่อว่าในการวินิจฉัยโรคผิดและจ่ายยาแก่คนไข้ก็ไม่ถูกโรค 

ทำให้รักษาไม่หาย และต่างพากันแห่ไปรักษาที่สถานพยาบาลของหมอจุกกันหมด 

ทำให้หมอแกะไม่พอใจหมอจุกเป็นอย่างมาก จึงคิดหาทางทำลายหมอจุกลงเสีย 

แต่ด้วยคุณงามความดีของหมอจุก ที่ได้สร้างสมจนเป็นที่รักของชาวบ้าน
และกลายเป็นกำแพงแก้วที่คอยคุ้มภัยให้หมอจุกจนไม่มีใครสามารถมาทำร้ายหมอจุกได้










ความโลภความหลง

การหลงผิด
การหลงผิดเป็นมิจฉาทิฐิในใจอีกอย่างหนึ่ง

ขาวกับดำ เป็นเพื่อนรักกัน
เมื่อครั้งยังมีชีวิต ขาวเฝ้าพรากเพียรสร้างคุณงามความดี
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จุนเจือสังคม 
ช่วยเหลือเพื่อนสัตว์โลกที่ตกทุกข์ได้ยากมาตลอดชีวิตเขา
ส่วนดำเป็นคนเห็นแก่ตัว
ชอบเอารัดเอาเปรียบ กินสินบาท ฟาดสินบน คดในข้อ งอในกระดูก
เอารัดเอาเปรียบทุกอย่างที่มองเห็นว่าตนเองมีทางได้

เมื่อทั้งสองตายไป
ขาวไปเกิดเป็นเทวดา
ดำไปเกิดเป็นหนอนในบ่อขี้

วันหนึ่งเทวดาขาวนึกถึงเพื่อนที่ชื่อดำ
และก็เห็นเพื่อนกำลังตกทุกข์ได้ยากเป็นหนอนในบ่อขี้
จึงเนรมิตรตนเองไปที่บ่อขี้หวังจะช่วยเพื่อนรัก ให้พ้นทุกข์
เมื่อไปถึง เทวดาขาวจึงตะโกนเรียกชือดำเพื่อนรัก
หนอนดำได้ยินเสียงเรียกจึงถามไปว่า ใครมาเรียกข้า
เทวดาขาวตอบว่า เราเองขาว เพื่อนของเองยังไงจำได้ไหม
หนอนดำตอบว่าจำได้ แล้วถามกลับว่าเป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม
เทวดาขาวตอบว่าเราสบายดี ตอนนี้เราเป็นเทวดา อยู่บนทิพย์วิมาน
หวังจะมาช่วยเพื่อนให้พ้นทุกข์ ไปเป็นเทวดากับเรา

หนอนดำถามว่า
เป็นเทวดามันดียังไง

เทวดาขาวตอบว่าเป็นเทวดาทุกอย่างเป็นทิพย์ อิ่มทิพย์ 
เวลาอยากกินอาหารเราก็แค่นึกถึง แค่นี้ก็อิ่มแล้ว

หนอนดำตอบกลับว่า
ถ้าอย่างนั้นเราไม่ไปเป็นหรอกเทวดา
เวลาจะกินอาหารยังต้องเสียเวลามานั่งนึกถึงอาหาร
เราเป็นหนอนในบ่อขี้ ไม่ต้องนึก แค่อ้าปากขี้ก็ไหลเข้าปากจนเต็มท้องแล้ว
ทำไมเพื่อนไม่มาเป็นหนอนในบ่อขี้กับเรา ที่นี่ดีที่สุดแล้ว

เมื่อเทวดาขาวเห็นดังนั้นจึงได้ปลงสังเวช เหาะกลับยังทิพย์วิมานของตนเองทันที



ขอบคุณภาพประกอบทุกภาพจากเพื่อนบล็อกเกอร์

อิจฉาริษยา






ความอิจฉาริษยา


ความริษยา คือ อคติ ที่เกิดขึ้นภายในใจของมนุษย์ ที่ไม่ยินดี กับการที่เห็นคนอื่นได้ดี

ริษยานี้เปรียบเสมือนสนิมเหล็ก ที่เกิดขึ้นภายในใจ

คอยเกาะกัดกินจิตใจฝ่ายดี ให้ตกต่ำและหมดไปจากใจของตนเอง

เปรียบเหมือนดินอยู่สองก้อนที่มาจากบ่อดินเดียวกัน

ก้อนหนึ่งถูกนำไปสร้างเป็น ก้อนอิฐ และถูกนำไปสร้างบนยอดเจดีย์ให้คนเคารพกราบไหว้

ส่วนอีกก้อนถูกนำไปทำเป็นอิฐปูพื้นให้คนเหยียบย่ำ

อิฐก้อนที่ถูกปูพื้น เฝ้าแต่พร่ำบ่นว่า ไอ้อิฐก้อนบนยอดเจดีย์มันคือดินเหมือนกู มาจากบ่อดินเดียวกันกับกู



คนที่พัฒนาตนเองแล้วจนได้รับการยอมรับนับถือจากสังคม

ได้รับการเคารพนบไหว้จากคนทั่วไป ก็เปรียบเหมือนอิฐก้อนที่อยู่บนยอดเจดีย์

ส่วนคนที่ไม่รู้จักพัฒนาตนเอง ไม่แสวงหาความรู้ความก้าวหน้ามาสู่ตนเอง

เมื่อเติบโตก็เป็นคนที่ไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองและนำความเจริญมาสู่ครอบครัวได้

ไม่สามารถดูแลผู้อื่นและสังคมได้

คอยแต่อิจฉาตาร้อนเมื่อเห็นคนอื่นเขาได้ดี

แทนที่จะอ่อนน้อมสอบถามวิธีการที่ทำให้เขาได้ดี

สอบถามหนทาง ช่องทาง จากเขา เรียนรู้จากเขา เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง

กลับเสียเวลาไปกับการอิจฉาริษยา จนกลายเป็นขอนไม้ผุ เป็นอาหารของ ปลวก มอด

กลายเป็นหมาหางด้วน ที่เฝ้าพร่ำให้คนอื่นเขาตัดหางเหมือนตนเอง

แทนที่จะยกตัวเองให้สูงขึ้นตามเขากลับชักชวนผู้คนให้เดินทางต่ำเหมือนตนเอง

คนเช่นนี้ จึงไม่ต่างอะไร กับเศษไม้ขอนไม้ผุ ที่ไม่สามารถนำไปสร้างบ้านเรือนได้เลย


แม้สองคนจะเกิดจาก ที่เดียวกัน

แต่การพัฒนาตนเองที่แตกต่างกัน

ก็สามารถยกระดับตนเองไปสู่ที่สูงได้ และได้รับเกียรติ

ได้รับการยกย่องจากสังคมนั้นๆได้ เหมือนดังเช่นกับ อิฐ สองก้อนนี้


กังวาล ทองเนตร











ขอบคุณภาพจากเว็บที่ปรากฎชื่อ

คนกับนม





น้ำนมจากอกแม่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าสูงสุดสำหรับมนุษย์

นอกจากจะทำให้อิ่มท้อง ทำให้เติบโตแล้ว ยังช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย

สัตวเลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆก็เช่นกัน
ต่างต้องการที่จะให้สิ่งที่มีค่าจากอกนี้ให้กับลูกน้อยของตัวเอง
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อสัตว์มันถึงเวลาต้องหย่านมแล้ว
ตลอดชีวิตมันไม่เคยหวนกลับไปดูดนมอีกเลย









แต่มนุษย์ แม้จะหย่านมแล้ว โตแล้ว ก็ยังก้าวไม่ข้ามนมซักที
ยังใฝ่ฝันถวิลหา อยากกินนมอยู่เหมือนเดิม
หรือมนุษย์มันติดนม หรือไม่รู้จักโตกันแน่
สารพัดนมสัตว์ต่างๆจึงถูกป้อนเข้าตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์


แก่แล้วยังอยากดูด ดื่มนม โดยเฉพาะมนุษย์เพศผู้ แม้จะรู้ว่ามันไม่มีน้ำนมให้ดื่มกิน
มันก็ยังต้องการดูด เลียกินน้ำลายตัวเอง โดยหาได้มีอะไรตกลงท้องไม่





เหมือนหมาแทะกระดูกชิ้นใหญ่
แท้จริงมันหาได้เศษกระดูกนั้นตกลงไปในท้องแม้น้อยนิด
คงมีแต่น้ำลายของมันเองที่มันดูดกินเข้าไป
แต่ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่สามารถจะกินกระดูกนั้นเข้าไปได้
มันก็พอใจที่จะครอบครองกระดูกชิ้นโตนั้นไว้
เป็นหมาหวงกระดูก แม้เพียงได้สัมผัสก็ยังดี
คนที่หย่านมกลับมาดูดนมมันก็ไม่ต่างอะไรกับหมาแทะกระดูก
ที่ได้รสชาติเพียงน้ำลายตัวเองที่ดูดเลียกลืนกินเข้าไปเท่านั้นเอง

คุณค่าของหญิงสาว






ผู้หญิงในวัยเด็กจะกำหนด สเป๊กซ์ของชายที่จะมาร่วมชีวิตไว้สูงมาก

คนที่จะมาเป็นคู่ฉันต้องมีเงินมีงานทำดีๆมีฐานะทางสังคม

มีชื่อเสียง มีการศึกษา มีชาติตระกูล และต้องขับรถยุโรปด้วย






พออายุย่างเข้า 20ปี สเป๊กซ์ผู้ชายของเธอก็เริ่มลดลง
ขอแค่มีงานทำ เป็นหลักแหล่ง ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้
แค่ขับรถญี่ปุ่นมาด้วยก็พอ










เมื่ออายุเริ่มย่าง 30ปี
เธอก็จะกำหนดสเป๊กซ์ผู้ชายในดวงใจใหม่ว่า
ไม่ต้องมีรถยนต์ขับก็ได้ แค่มีมอเตอร์ไซค์ซักคนก็พอ
งานรับจ้างทั่วไป หรือขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้












พออายุย่างเข้า 40 ปี
ผู้ชายในดวงใจของเธอเวลานี้
ขอแค่ปั่นจักรยานมาให้เห็นหน้าได้แต่ละวันก็พอ
งานทำไม่ต้องมีก็ได้ มาช่วยกันทำมาหากินแถวบ้าน
เก็บผักหักฟืนอยู่กินกันไปก็พอแล้ว









พออายุย่าง 50 ปี
ผู้ชายในดวงใจเธอเวลานี้
ขอแค่มีเงินค่ารถเมล์มาหามาเยี่ยม ยามเจ็บป่วยไข้ คอยป้อนน้ำ หยูกยา ก็พอแล้ว



พออายุเริ่ม 60 ปี

เธอก็จะตั้งสเป๊กซ์ไว้แค่มีแขนมีขา
ผ้าขาวม้าผูกเอว ก็เดินมาเถอะ
มาคอยตะบันหมากินกันยามบั้นปลายชีวิต พอได้พูดได้คุยแก้เหงา


  • อะไรทีทำให้คุณค่าของผู้หญิงลดฮวบลงตามตัวเลขอายุถึงเพียงนั้น
คุณค่าความเป็นคนของเธอเสื่อม ก็ไม่ใช่
แต่การที่เราคาดหวังจากสิ่งที่มีในตัวเราไปเทียบกับทรัพย์ภายนอก
มันทำให้เราตีราคาตัวเองตามทรัพย์ภายนอก
พอตัวเราเองมีอายุสูงวัยขึ้นจึงคิดว่าตัวเอง หมดค่า หมดราคา
ยังไงก็ได้ ซึ่งเป็นการคิดที่ผิด
คุณค่าของคนไม่ได้เสื่อมลงตามอายุ
ความเป็นคนความดี ไม่ได้เสื่อมตามอายุ
ทรัพย์ที่มีอยู่ภายในคือจิตใจ
สูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์ภายนอกทั้งปวง
จงเห็นคุณค่าของตัวเอง
เพราะทรัพย์ภายในมันเสื่อมสภาพไม่เป็น แม้ตัวเราจะตาย มันยังคงอยู่
และถูกกล่าวขวัญถึงไปชั่วลูกชั่วหลาน




คุณค่าวัดที่จิตใจ