วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ29


เมื่อเราอาบน้ำเสร็จสรรพก็เดินออกมาหาพี่พงษ์ที่ระเบียงด้านนอก
เป็นไงสบายตัวขึ้นไหม พี่พงษ์ถาม
ดีครับ ผมเพิ่งได้อาบน้ำจืดครั้งนี้เป็นครังที่สองในรอบเดือนกว่าครับ เราเปรยออกไป
ชื่ออะไรล่ะเรา พี่พงษ์ถาม
ผมชื่อทิวครับ
เรียนจบอะไรมาล่ะ พี่พงษ์ถามต่อ
ผมจบ ม.3 เองครับ เราตอบ
ดีกว่าพี่อีก พี่มาจากบ้านมีความรู้ติดตัวมาแค่ ป.6 เอง พี่มาเรียนการศึกษาผู้ใหญ่
เพิ่งจบ ม.3 ไม่กี่วันนี่เอง
และเดี๋ยวสักครู่ พี่ก็จะออกไปสมัครเรียนต่อ ม.ปลาย พี่พงษ์บอก

พอได้ยินพี่พงษ์บอกเราสนใจขึ้นมาทันที
เพราะนี่คือสิ่งที่เราตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูงสุดในชีวิต
คือได้เดินกลับเข้าไปในสถานศึกษาอีกครั้ง
กลับไปเก็บโอกาสต่างๆที่มันตกหล่นหายไปจากชีวิตมันกลับคืนมา
เราเริ่มสอบถามพี่พงษ์ถึงเรื่องนี้

แล้วการศึกษาผู้ใหญ่เขาเรียนกันยังไงครับ เราสอบถาม
เรียนภาคค่ำทิว อาจจะไม่เหมือนภาคปกติเขาซะทีเดียว
แต่สำหรับคนจนที่ขาดโอกาสอย่างเรา 
นี่ก็คือโอกาสหนึ่งที่เราไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป พี่พงษ์บอกกับเรา
อยู่ไกลไหมครับ เราถามด้วยความสนใจ
วัดธาตุทอง ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลนั่งรถเมล์ไปเดี๋ยวเดียว สนใจไหมล่ะพี่พงษ์ถาม
สนสิครับพี่ นี่คือความหวังสูงสุดผมเลย
แล้วมีค่าใช้จ่ายเยอะไหมครับ เราถามพี่พงษ์ต่อด้วยความอยากรู้
ก็นิดหน่อย ไปสมัครกับพี่ไหมล่ะจะได้ไปเรียนด้วยกัน พี่พงษ์ชวน
ไปครับ เรารีบตอบ
แต่ตอนนี้ผมมีเงินสดติดตัวแค่ห้าสิบบาทเองครับ 
รอสิ้นเดือนก่อนดีกว่า เราบอกกับพี่พงษ์

โอ้ย.!! รอสิ้นเดือนเขาก็ปิดรับแล้วต้องรอรุ่นใหม่อีกยาวเลยทิว
ไปแต่งตัวไปเตรียมเอกสารให้พร้อม
เดี๋ยวพี่ออกค่าใช้จ่ายให้ก่อนไว้สิ้นเดือนทิวค่อยคืนพี่ พี่พงษ์บอก
เรารีบลุกไปแต่งตัวเตรียมเอกสารสำคัญ ใบ ร.บ. ม.3
สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
แต่ขาดรูปถ่าย
จึงมาบอกพี่พงษ์

พี่พงษ์บอกไม่เป็นไรทิวไปสมัครไว้ก่อน
รูปถ่ายเดี๋ยวพี่พาไปถ่ายไว้ก่อน กว่าจะได้ก็อีกหลายวัน
ค่อยเอาไปให้เขาภายหลังก็ได้ 

เราดีใจที่สุด เราคิดอยู่เสมอมาว่าต้องมีวันนี้ให้ได้
เพราะสิ่งเดียวที่เรากล้าพูดตั้งแต่เกิดมาว่าไม่เคยเป็นที่สองรองใครคือเรื่องเรียนนี่เอง
เราสอบได้ที่หนึ่งมาตลอดจนจบ ม.3 และเคยเป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าสอบแข่งขัน
ได้ที่หนึ่งมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
 แค่เราได้สวมเครื่องแบบนักศึกษา ถือตำราเดินเข้าห้องเรียนได้อีกครั้ง
ชีวิตเราก็เดินไปถูกทางที่เราหวังไว้แล้ว

เราคิดถึงตรงนี้ เราดีใจจนน้ำตาไหลออกมา
และก้มกราบพี่พงษ์ด้วยความขอบคุณและดีใจอย่างที่สุด

พี่พงษ์ตกใจ เมื่อเห็นเราก้มกราบ
แล้วรีบลุกขึ้น
ทำอะไรวะทิว พี่พงษ์ถามด้วยความตกใจ
พี่พงษ์นั่งลงเถอะครับ
ขอให้ผมได้ขอบคุณพี่ซักครั้งที่ทำให้ผมเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผมคาดหวังมาโดยตลอด 
เราพูดกับพี่พงษ์
โอ๊ยไม่ต้องทำถึงขั้นนี้หรอกทิว พี่พงษ์ปรารภออกมา
แต่ผมตั้งใจเรื่องนี้มาตลอดเลยจริงครับ เราบอกกับพี่พงษ์
นี่มันแค่เริ่มต้นนะทิว พี่พงษ์บอกกับเรา
แต่นี่เป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่ผมคาดหวัง และตั้งใจมาตลอดครับ
และผมจะเดินไปแนวทางนี้โดยไม่ยอมหลบออกนอกเส้นทางอีกแล้ว
จนกว่าผมจะถึงจุดที่ผมพอใจ
อนาคตของผมอยู่ที่เส้นทางนี้นี่เองครับ แล้วจะไม่ให้ผมขอบคุณพี่ได้ยังไง 
เราอธิบายพร้อมยืนยันการกระทำ

เอาล่ะลุกขึ้น รอพี่เดี๋ยว พี่ไปแต่งตัวก่อนเดี๋ยวจะออกไปกัน
ว่าแล้วพี่พงษ์ก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
รออยู่จนพี่ที่ทำงานด้วยกันอีกสามคนที่ออกไปหาอาหารกินกันกลับเข้ามา
พี่พงษ์แนะนำเราให้รู้จักกันกับเพื่อนทั้งสามคนแล้วเราก็เดินออกไปกัน

อันดับแรกพี่พงษ์พาไปตัดผมที่แดงกรอบออกเสียก่อน
แล้วพาไปถ่ายรูปจากนั้นพาไปสมัครเข้าเรียน
เราได้ตำรามาด้วยความดีใจ
พี่พงษ์บอกว่าที่นี่เขามีฝึกอาชีพด้วยนะทิววันอาทิตย์ งานเราหยุด ถ้าสนใจก็สมัครไปเลย
โอกาสมาถึงแล้วก็อย่าปล่อยมันไป
เราสมัครเรียน ม.ปลายและสมัครเรียนฝึกอาชีพอีก

กลางวันทำงาน กลางคืนไปเรียน วันหยุดไปเรียนอาชีพ
เราเรียนมันทุกอย่างที่เราสามารถเรียนได้ ที่เวลาเอื้ออำนวยให้
มีการอบรมเชิงวิชาการ เสวนาที่ไหนถ้าเรารู้และเขาเปิดโอกาสเราก็ไปมันทุกที่
เราเข้าอบรมการฝึกพูด เข้าอบรมพัฒนาบุคลิกภาพ
เรียนช่างอิเลคทรอนิคส์
เราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
เป็นเวลา 2 ปีเราก็จบ ม.6 สมดังหมาย
พี่พงษ์ก็จบเช่นกัน
เราชวนกันไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พี่พงษ์เข้าเรียนคณะนิติศาสตร์
ส่วนเราเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ภาควิชาการปกครอง
พวกเรามุ่งมั่นขยันขันแข็ง
มีเวลาว่างจากงานในบางวันเราก็ไปนั่งเรียนรวมกับพวกที่ห้องเรียนที่ราม
ไม่มีเวลาเราก็ทำงานและอ่านหนังสือ
ในระหว่างเรียนเราได้เสริมทักษะให้ตัวเองโดยการเป็นติวเตอร์ให้เพื่อน น้องๆที่รามด้วยกัน
จนเกิดทักษะและกลายเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของตัวเองไปด้วย
บางวันเราไปสอนการบ้านเด็กตามบ้านในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน
เราทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาเรียน
และอีกทางหนึ่งเราก็เพิ่มพูนความรู้ให้ตนเอง
ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการต่างๆอย่างไม่ลดละ
เข้าอบรมเรียนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต่างๆจนช่ำชอง
และเราก็สำเร็จการศึกษาเมื่อปี2532 รวมจากเรียน ม.ปลายและปริญญาตรี เพียงแค่ 5 ปี
คือเรียน ม.ปลาย 2 ปี เรียนปริญญาตรี 3 ปี เราจึงสำเร็จการศึกษา
พร้อมสั่งสมประสบการณ์ความรู้ต่างๆไว้พร้อมสรรพ
เราพร้อมแล้วที่จะรับใช้สังคม
เราไปสมัครเป็นครูสอนโรงเรียนเอกชน
และอาสาตัวเองไปสอนพิเศษตามศูนย์ กศน.
หรือการศึกษานอกโรงเรียน เพื่อตอบแทนโอกาสที่เราได้รับมา

ในระยะเวลาที่เราตั้งหน้าตั้งตาเก็บฝันตัวเองที่หล่นหายไปกลับคืนมา
เราก็ได้แอบไปดูความเคลื่อนไหวของริญอยู่เป็นระยะๆตลอดมา
และได้แอบเขียนจดหมายบอกกล่าวเรืองราวความเคลื่อนไหวของเรา
ให้ริญรับรู้มาโดยตลอดเช่นกัน
และได้หาโอกาสโทรศัพท์พูดคุยกันอยู่ไม่ได้ห่างหายเลยเช่นกัน
ขณะที่เราเติมความรู้ให้กับตัวเองเราทั้งสองก็แอบเติมรักใส่ใจกันตลอดมา

เมื่อเรียนจบเราขอลาออกจากงาน
และยึดอาชีพเป็นติวเตอร์ สอนตามหน้ารามบ้างตามโรงเรียนกวดวิชาบ้าง
สอนการบ้านเด็กตามบ้านบ้าง
ส่วนที่พักของเราขณะนี้
เราได้ย้ายมาเช่าห้องเล็กๆเป็นส่วนตัวอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ

ส่วนพีพงษ์ได้สอบเข้าเรียนเนติบัญฑิตอีก
เพื่อมุ่งสู่งานอาชีพทนายความที่พี่เขาคาดหวังเช่นกัน
แม้เราจะลาออกงานแล้วทั้งคู่เราก็ยังคบหากันแบบพี่น้องร่วมท้องเดียวกันตลอดมา

ชีวิตเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและค่อนข้างมีอิสระมีเวลาที่ควบคุมและจัดการได้แล้ว
เราจึงนัดเจอกับริญหลังจากเสร็จงานแล้ว และเธอเลิกจากเรียนในเย็นวันนี้
เราไม่ได้นัดเจอกันที่บ้าน
แต่เรานัดเจอกันที่สวนลุมพินี
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆตั้งแต่เราจากกันที่ขอนแก่น ที่จะได้กลับมาเจอกันตัวเป็นๆ
อีกครั้ง หลังจากที่เราได้ยินแต่เสียงกันมานานและคอยให้กำลังใจกันและกันเรื่อยมานับห้าปี
และเราจะได้ถือโอกาสนี้พูดคุยกับริญในเรื่องความรักของเราที่สุกงอมแล้วเต็มที่
เพราะวันนี้เราพร้อมแล้ว
พร้อมทุกอย่างที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอทุกเส้นทาง
เรามาไกลยิ่งกว่าที่ใครคาดคิดไว้อีก
วันนี้แหละวริญญา ทุกนาทีของวันนี้จะเป็นเวลาที่หัวใจของเราสองคนจะได้พูดคุยกัน
ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆที่ได้เผชิญมาและมีอยู่ รออีกชั่่วอึดใจนะคนดี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น