วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเราจึงไม่รวย


เคยไหมที่บางครั้งเราเคยถามตัวเองว่า
เมื่อไหร่กูจะรวยซักทีโว๊ย

แต่ครั้นหันกลับมามองตัวเราเองอย่างถ้วนถี่แล้ว
เราจะพบว่า มันมีรายได้ที่ไหลเข้ามาหาเราเพียงทางเดียวหรือไม่กี่ทางเท่านั้น
เช่นเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็จะมีเพียงเงินเดือนอย่างเดียวที่ไหลเข้า
บางคนก็ตามค่าแรงขั้นต่ำ คือวันละ 300 บาท หรือ เดือนละ 9,000บาท
บางคนก็ 15,000บาท 20,000 บาท ประมาณนี้
แล้วเราลองตรองดูว่า เมื่อมีรายได้ไหลเข้าเท่านี้
ลองคิดเลขแบบไม่ต้องกินต้องใช้เลย เดือนละ 9 พันหนึ่งปี
เราจะมีเงินเก็บ 108,000 บาท นี่คือไม่ใช้เลยแม้สลึงเดียว
ถ้า 20,000 บาท หนึ่งปีไม่ใช้เลยซักสลึงจะมีเงินเก็บ 240,000บาท
แต่ความเป็นจริง เราต้องกินต้องใช้ มีค่าเช่าบ้าน หรือเช่าซื้อบ้าน
มีค่าใช้จ่ายประจำในครัวเรือน หรืออาจมีลูกกำลังกินกำลังเรียน
หรืออาจแบกรับภาระทางครอบครัว พ่อแม่พี่น้องอีก หรืออาจผ่อนส่งงวดรถอีก
ลองถามตัวเองซิว่า จะพอหรือไม่ เมื่อไม่พอ
เราจะเอาเงินที่ไหนมาเก็บสะสม ให้ยอดมันงอกเงยขึ้นมาได้จนเราร่ำเรารวย
มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เงินเดือนจะร่ำรวยขึ้นมาได้
เพียงเพราะรายได้จากเงินเดือนช่องทางเดียวที่ไหลเข้าครอบครัว
นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมเราจึงไม่รวย
และลองถามตัวเองอีกว่า อีกสิบปี 20 ปี เราจะรวยหรือไม่
เราก็ต้องตอบตัวเองว่าอีกสิบปี อีกยี่สิบปี เงินเดือนเราจะขึ้นเป็นแสนหรือไม่
ถ้าคำตอบคือไม่ คุณก็ได้คำตอบอยู่แล้ว ในเมื่ออีกสิบปียี่สิบปีค่าใช้จ่ายก็ยังมี
และอาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะจะรวมถึงค่ารักษาพยาบาลเข้าไปด้วยในยามเราชรา
คำถามและคำตอบ เราก็รู้อยู่แล้วด้วยตนเอง

ทีนี้เราจะคิดอย่างไรทำอย่างไร ให้รายได้มันไหลเข้ามากขึ้น หรือหลายทางมากขึ้น
ไม่คงที่ตายตัวเหมือนที่ผ่านมา เราก็ต้องหาวิธี ที่จะทำให้รายได้เราไม่ตายตัว
นั่นก็คืออาชีพอิสระที่สร้างงานสร้างเงินโดยตัวของเราเอง
ตามความขยันของเราเอง เช่นทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆที่ไม่ใช่ร้านขายของชำ
หรือร้านโชว์ห่วย มันต้องมีช่องทางจนได้ถ้าเราเดินมองหามันให้ดีดี

เราอาจถามตนเองว่า เราทำอะไรได้
บางคนตกงานมาแล้วมานั่งร้องไห้
บ่นว่าหางานไม่ได้เขาไม่ให้โอกาส
ทำไมเราไม่ถามตัวเองบ้างว่า แล้วทำไมเราต้องรอให้คนอื่นให้โอกาส
ทำไมเราไม่สร้างโอกาสให้ตนเองดูบ้าง

แน่นอนว่าสิ่งที่เราเคยทำเคยคิด
มันเป็นผลมาจากอิทธิพลความคิดทางสังคม
ว่าถ้าเรียนจบนั่นมาต้องทำงานอย่างนี้
ถ้าเรียนจบโน่นมาต้องทำงานอย่างนั้น
มันถูกปลูกฝังเรามาในสมองตั้งแต่เด็ก
จนเราคิดว่า เรียนจบมาเพื่อเดินเข้าออฟิศ เดินเข้าโรงงานอย่างเดียวเท่านั้น
เราถูกอิทธิพลนายทุนกล่อมเกลาว่า
ถ้าไม่เข้าออฟฟิศ ไม่เข้าโรงงาน ก็คือตกงาน
เป็นค่านิยมที่โสโครก เพราะเขาไปจำกัดความคำว่า ทำงานว่า
เช้าต้องออกจากบ้านไปทำงานที่ไหนซักแห่ง เย็นก็กลับบ้าน
สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน นั่นคือการทำงาน

ซึ่งความจริงมันไม่ใช่
การทำงาน ไม่จำเป็นต้องมีสถานะ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง หรือมีโต๊ะทำงาน
การทำงานหมายถึง การทำมาหาเลี้ยงชีพ ที่เป็นสัมมาชีพ
เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน
มีรายได้จุนเจือ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ นั่นต่างหากคือการทำงาน

หลายคนบอกว่าเคยเป็นคนขับรถ คนล้างจาน รปภ.พนักงานโรงงาน พนักงานออฟฟิศ
เป็นพนักงานขาย เป็นผู้จัดการ และอื่นๆมากมาย ซึ่งสรุปแล้ว
เราเคยทำงานทุกอย่างได้ ตั้งแต่ยามยันผู้จัดการ
แต่เราทำได้เพราะคนอื่นบอก คนอื่นอุปโลกน์ให้เราเป็น ให้เราทำ
ในเมื่อเราทำได้ เราเป็นได้ ทำไมเราไม่สั่งให้เราทำ สั่งให้เราเป็น 
แต่งตั้งให้ตัวเองเป็นผูจัดการฝ่ายขาย และหาสินค้า ผลิตสินค้ามาขาย
ขายให้เหมือนกับเราเดินขายให้เขา เช้ายันค่ำ เพื่อแลกคอมมิชชั่นไม่กี่บาท
ลองขายดู ทำให้เหมือนกันทำให้หนัก แต่ผลลัพธ์มันเราจะได้คนเดียวไม่ใช่นายจ้าง

นี่คือสิ่งที่คนเราไม่เคยให้โอกาสตนเอง
เป็นเพราะเราดูถูกตนเอง ไม่เห็นความสำคัญตนเอง
เรารอให้คนอื่นมายื่นโอกาสให้ และบอกว่าตอนนี้คุณเป็นพนักงานขายแล้วนะ
เป็นผู้จัดการแล้วนะ แล้วคุณก็เป็นไปตามบทบาทที่เขามอบให้เพื่อรับค่าตอบแทน ไม่กี่บาท
เมื่อเขาไม่จ้างเราก็มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งที่ คุณเป็นได้ทุกอย่าง แต่คุณไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่เคยให้โอกาสตนเองบ้างเลย ถ้าคุณทำให้คนอื่นรวยได้
คุณก็ทำให้ตนเองรวยได้เช่นกัน ลองดูนะ สหายทั้งหลาย