วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ28


หลังจากเธอคนนี่กลับเข้าไปในบ้าน
เราก็เห็นหญิงสาวใส่ชุดนักศึกษาวิ่งออกมากับผู้หญิงคนเดิม
มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาใคร
เราซึ่งซุ่มอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าบ้านนั้นก็เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอด
ริญ เธอคือริญ เราอยากจะวิ่งออกไปหาเธอและร้องตระโกนให้ดังๆให้เธอได้ยินว่าเราอยู่นี่

ในความรู้สึกของเราเวลานี้อยากโผเข้าไปกอดเธอให้หายคิดถึง
อยากบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราให้เธอฟังด้วยตัวของเราเอง
แต่ก็ได้แต่ข่มใจไว้
เก็บความรู้สึกภายในเอาไว้
แต่น้ำตาเจ้ากรรมมันก็ชั่งไม่เป็นใจ
มันไหลเคลียแก้มด้วยความยินดีและดีใจมากมายที่ได้พบเจอหน้าหวานของเธออีกครั้ง
เราจับจ้องมองดูเธอไม่ยอมละสายตา
เห็น วริญญาเดินไปมาอยู่หลายเที่ยวกระวนกระวายชัดเจน
และเธอได้พูดคุยกับหญิงสาวคนที่ออกมาด้วยอยู่ไม่ขาด
นับแต่เราจากันที่ขอนแก่นที่สถานีรถไฟวันนั้นจนกระทั่งเราถูกรรมซัดพาไปอยู่ทะเลกว้าง
จนถึงวันนี้ก็สองเดือนเศษแล้ว
เธอยังสวยอ่อนหวาน งดงามอยู่เหมือนเดิม
เพียงแต่ผมของเธอเวลานี้ไว้ผมยาวต่างจากเดิม
ยิ่งมองยิ่งลับกับใบหน้าที่อ่อนหวานของเธอ
เธอเดินไปมาจนแน่ใจ
เธอจึงกลับเข้าไปในบ้านและมีรถเก๋งขับออกมารับเธอออกจากบ้านไป

นี่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามเดือนที่เราจากกัน
และได้กับมาพบเจอหน้าเธออีกครั้งด้วยความดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แต่สำหรับริญแล้ว
วันนี้คงเป็นวันที่เธอทรมานใจ และกระวนกระวายเป็นที่สุด
ที่รู้ว่าเรามา แต่เธอกลับไม่ได้เห็นหน้าพบปะพูดจากันตามประสาคนที่รักกันมาและจากกันนานหลายเดือน

ทิวต้องขอโทษนะริญ
ทิวยังไม่พร้อม
ทิวรู้ว่าภายในหัวใจของริญเจ็บปวดอย่างไร
และทิวก็มั่นใจว่าชาตินี้เรารักกันมากเกินกว่าสิ่งใดจะมากั้นขวางได้และคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว
เช่นเดียวกับทิว คำสัญญา ความผูกพัน
รอยรักในอดีต ภาพรักในใจ มันยังคงหวานตรึงติดแน่นอยู่ในใจของเราทั้งสองคน มิมีแปรเปลี่ยนไปได้
แล้วทิวจะกลับมาริญ ไม่นาน ไม่นานแน่ริญ ทิวจะกลับมา

หลังจากที่เธอออกจากบ้านไปได้ซักครู่ใหญ่เราก้ออกมาจากที่ซุ่ม
เดินหน้าตรงไปตามแนวซอยหลังสวนจนสุดทาง
เจอห้างสรรพสินค้าใหญ่ห้างหนึ่งตั้งเด่นอยู่ฝั่งตรงข้าม
เราเดินตรงออกไปที่ถนนใหญ่
ดูจากป้ายเขียนว่าถนนเพลินจิต
เราเลี้ยวขวามุมถนนเดินตรงไปเรื่อยๆไม่มีเป้าหมาย
เดินข้ามทางรถไฟเข้าถนนสุขุมวิท และเดินตรงต่อไปเรื่อยจนมาถึงทางแยก
เราวิ่งข้ามถนนมาอีกฝั่ง เป็นถนนอโศก
ข้างถนนมีป่าร้างเล็กๆอยู่ข้างทาง ผู้คนก็ไม่ค่อยมาก
เราจึงเดินเข้าไปตรงป่าละเมาะนั้น
เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ข้างทางนั่งชันเข่า
หยิบก้อนหิน ปาโน้นปานี่ไปเรื่อย
ภายในหัวใจมันร้อนรุ่มเหมือนมีไฟเผากองใหญ่อยู่ในหัวใจ
มันเจ็บปวดทรมานยิ่งนักเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้

ส่วนอีกความคิด
ก็ยังโลดแล่นและตั้งใจอย่างมั่นคงว่าต้องหางานทำให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
เราคิดและนั่งอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ไม่รู้

จนได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งมายืนเรียกเรา
ไอ้น้องๆๆ
เราหันออกมาทางริมถนนอโศกก็เห็นผู้ชายคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาเรา
มาหางานทำเหรอน้อง ชายคนดังกล่าวถาม และนั่งย่อเข่าลงตรงหน้าเรา
เรายังไม่ตอบ

ผู้ชายคนนี้ก็ถามต่ออีกว่า
มาจากไหนล่ะ
ผมมาจากปัตตานี เราตอบไป

มาจากใต้เหรอ เป็นคนใต้หรือ ไม่น่าละ ดูจากสีผิวกับเส้นผมก็บอกยี่ห้อแล้ว
 ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
ผมเป็น คนอีสานครับ
ผมเกิดที่มหาสารคาม
แต่น้าเอาไปเลี้ยงอยู่ที่ขอนแก่น น้าไม่มีลูก และผมก็โตอยู่ที่โน้น
และทำงานอยู่ที่โน้น เราอธิบายให้เขาฟัง

แล้วทำไมออกมาซะล่ะ ชายคนดังกล่าวถาม
ผมมาตามหาแฟนเธอมาเรียนที่กรุงเทพ
แต่วินาทีแรกที่ผมมากรุงเทพผมก็ได้รับความทรงจำไม่ดีเลย
โดนแท็กซี่พาไปปล่อยที่สวนจตุจักรทั้งที่ผมจะมาสวนลุม

และผมก็ถูกหลอกจนไปทำงานที่เรือตังเกที่ปัตตานีได้เดือนกว่าผมจึงโชคดีกลับเข้ามากรุงเทพนี้อีกครั้ง 
เราบอกเล่าให้ชายคนดังกล่าวฟัง
แล้วนี่ได้งานหรือยังล่ะ เขาถาม
ยังเลย ผมยังเริ่มต้นไม่ถูก เราตอบ
ไปทำงานกับพี่ไหมล่ะ ชายคนดังกล่าวชวน

ผมไม่ไปทำงานกับพวกจัดหางานอีกแล้วพี่เข็ดจนตาย พี่อย่ามาชวนผมเลย ผมไม่ไปหรอก เราปฏิเสธเขาไป
และแล้วชายคนดังกล่าวก็ลุกขึ้น
ล้วงไปในกระเป๋ากางกาง หยิบบัตรประชาชนของเขาส่งให้เรา
เราลังเลเล็กน้อยแต่ก็หยิบบัตรมาดู
พี่ชื่อพงษ์ศักดิ์ เรียกพงษ์ก็ได้ เขาแนะนำตัว
พี่เป็นหัวหน้างานอยู่ใกล้ๆนี้ เดินเข้าไปในซอยคาวบอยนี่เอง
พอดีคนงานพี่มันมีเรื่องด่วนเลยออกกลับบ้านไปคนหนึ่งพี่ก็เลยออกเดินหาคนงานมาเสริมแทน
แต่ก็ไม่ได้ เลยกำลังจะเดินกลับบริษัทที่พี่พักอยู่ก็พอดีมาเจอน้อง
ไปทำงานกับพี่ไหมล่ะ นายเขาให้ 3,500 บาทต่อเดือน
เดินไปดูกับพี่ก่อนก็ได้ ด้านในนี้ไม่ถึงสองร้อยเมตร ใกล้ๆกับ ม.ศ.ว.ประสานมิตร
ไม่พอใจก็ไม่เป็นไร พี่พงษ์ศักดิ์บอกกับเรา
เราจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินตามเขาเข้าไป
พี่พงษ์พาเดินเข้าไปปากซอยสุขุมวิท23เขาเรียกว่าซอยคาวบอย
เราสังเกตว่ามีบาร์ อะโกโก้เต็มไปหมด
จึงถามพี่พงษ์ว่าบาร์ อะโกโก้มันคืออะไรครับพี่
ถ้าน้องอยู่นี่เดี๋ยวกลางคืนพี่จะพาเดินมาดูรับรองน้องไม่เคยเห็นมาก่อนแน่ พี่พงษ์บอก

และไม่นานเราก็เดินมาถึง  พี่พงษ์พาเข้าไป
ข้างในมีรั้วรอบขอบชิดเป็นแนวชัดเจน มีบริเวณมีพื้นที่กว้างขวาง
 มีต้นไม้ร่มรื่น มีตึกใหญ่ตั้งเป็นประธานอยู่หลังหนึ่ง
 ส่วนข้างๆเป็นอาคารเรือนไม้ชั้นเดียวปลูกเป็นแนวยาว มีระเบียง
และ มีต้นตาขบอยู่ด้านหน้า กั้นห้องไว้ใช้งานเป็นสัดส่วน
 ด้านนอกอาคารไม้มีกรอบไม้ขึงผ้าวางกองไว้เยอะมาก เราได้กลิ่นสีคละคลุ้งไปหมด

นี่แหละที่ทำงานพี่และก็เป็นที่พักอาศัยอยู่นี่ด้วย
ปกติเราจะอยู่กัน5คนรวมพี่ แต่ตอนนี้เหลือสี่คน ถ้าน้องมาอยู่ด้วยก็จะเป็นห้าคนเหมือนเดิม
ที่พวกเราทำนี่เขาเรียกว่างานพวก ซิลค์สกรีน ที่เห็นนั่น เขาเรียกบล็อก เราทำตามที่เขาสั่งมาเอาไว้สกรีนภาพหรือข้อความต่างๆลงในผืนผ้าใบบ้าง สติ๊กเกอร์บ้าง เสื้อบ้างแล้วแต่เขาสั่งมา
ซึ่งนายเขาจะเป็นคนหางานมาป้อนเราเองเรามีหน้าที่แค่ทำ หยิบๆจับๆอยู่ตามนี้แหละ
นายพี่เขาทำงานที่บนตึกใหญ่โน้น เป็นของบริษัทฝรั่งชื่อบริษัท คอบร้า
แต่ของเราที่ทำไม่เกี่ยวกับเขาหรอก แต่นายพี่เขาขอเช่าพื้นที่รับงานมาทำ
แล้วก็มาจ้างพวกเรานี่แหละ งานก็มีอัดบล็อก ทากาวแต่งบล็อก แล้วก็สกรีน 
ล้างทำความสะอาดบล็อกก็มีเท่านี้คือหน้าที่เรา พี่พงษ์อธิบาย
ส่วนที่นอนก็นอนด้วยกันห้าคนหรือใครอึดอัดก็ออกมาปูเสื่อนอนระเบียงได้
หรือศาลานั่งเล่นตรงต้นตาขบก็ได้ ตามสะดวก 
ส่วนอาหารก็หากินเองตัวใครตัวมัน พอไหวไหม พี่พงษ์ถามเรา

ตอนนี้ก็เย็นแล้วเราคงต้องตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปก่อนพอตั้งหลักได้ค่อยว่ากันใหม่
จึงตอบพี่พงษ์ว่าตกลงครับผมอยู่ด้วย
พี่พงษ์บอกดีเลยงั้นเอากระเป๋าไปเก็บไปอาบน้ำอาบท่าก่อนค่อยมาคุยกันต่อ
แล้วพี่พงษ์ก็พาเราเดินทำความรู้จักรที่ทำงานและที่พักใหม่พร้อมแจกแจงรายละเอียดงานให้ฟัง









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น