วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นี่แหละชีวิต



มนุษย์เราทุกคนเกิดมา ล้วนมีความฝันเป็นของตัวเอง
 ทุกคนมีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับสภาพสังคม สภาพแวดล้อมที่คนคนนั้นอยู่อาศัยและเติบโตมา
 เช่น ถ้าเราเติบโตมาในสภาพสังคมครอบครัวเรา มีแต่คนป่วย คนไข้ 
ชีวิตครอบครัวเรา เห็นความยากลำบาก ทุกข์ทนอยู่กับการเจ็บป่วยไข้
 เราก็อาจวาดฝันไว้ว่า เราอยากโตมาเป็นหมอ เป็นพยาบาล


แต่ถ้าเราเติบดตมาในสังคมที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม
 เจอแต่ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เราก็อาจวาดฝันไว้ว่า 
อยากเป็นตำรวจ  
หรือถ้าคนในครอบครัวเราถูกข่มเหงรังแกโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
 เราก็อาจวาดฝันไว้ว่า โตมาอยากเป็น ทนายความ เป็นอัยการ เป็นผู้พิพากษา



ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของความฝัน ของชีวิตที่เราแต่ละคนอาจเคยวาดฝันเอาไว้
 และเราต้องยอมรับความจริงว่า สภาพแวดล้อม
 สภาพสังคม มักจะมีอิทธิพลต่อความคิดเราเป็นอย่างมาก
 ในการนี้อาจรวมไปถึงคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ของเราด้วย



แล้วถ้าอย่างนั้น หลายคนอาจถามกลับว่า
 แล้วความฝันจริงๆของเราล่ะ เป็นอย่างไร 
ความฝันจริงๆ แท้ๆของเรา ที่ไม่มีอิทธิจากภายนอก หรือผู้อื่นมากำหนด
เป็นอย่างไรกันแน่

เมื่อเอาเข้าจริง เราก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า 
มนุษย์เรานั้นมีน้อยมาก ที่ได้ใช้ชีวิต อย่างอิสระ เสรี
 โดยไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลทางความคิด หรือ กฎ หรือกรอบของผู้อื่น
 มีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย


แม้แต่ชีวิตการแต่งงาน การเลือกคู่ 
ที่จะต้องหาคนมาอยู่กับเราจนวันตาย เรายังไม่มีอิสระในการเลือกอย่างเต็มที่เลย
 เพราะสุดท้ายการตัดสินใจขั้นสูงสุดก็มักจะเป็นครอบครัวหรือพ่อแม่อยู่ดี
 แม้มีครอบครัวแล้ว มีลูกเกิดมา ลูกของเราแท้ๆ 
ยังต้องพึ่งพาคนอื่น ในการตั้งชื่อให้เสียด้วยซ้ำ



จะเห็นได้ว่าตลอดชีวิตเรา อยู่ใต้กฎ ใต้กรอบ จนวันตาย 
กฎ และกรอบ เหล่านี้ เป็นเหมือน โซ่ตรวน เป็นพันธนาการ เป็นกำแพงเหล็ก 
ที่มนุษย์เรานี่เอง สร้างมันขึ้นมา เพื่อกักขังตัวเอง  
ทำให้มนุษย์ใช้ชีวิต ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ 
ตามที่ควรจะเป็น แต่ถูกกรอบความคิดของผู้อื่น มากดทับไว้ ตลอดเวลา



เมื่อเราถูกกดทับด้วยความคิดผู้อื่นมากเข้า
 ธรรมชาติของมนุษย์ ก็พยายาม ดิ้นรน เพื่อจะให้หลุดพ้น การจองจำนั้น 
หรือที่เรียกว่า ฉีกกฎ เพื่อปลดปล่อยตัวเอง ออกจาก พันธนาการนั้น 
แต่เราก็ไปได้ไม่ไกล เพราะสังคมทั่วไป มันเต็มไปด้วยกฎ 
และทุกคน จำยอม หรือยอมศิโรราบ อยู่ใต้มันไปเสียแล้ว



ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลี่ยงอื่นไปได้เลย 
นอกจาก เดินกลับมา อยู่ภายใต้มันด้วยอีกคน เช่นเดิม 
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตมนุษย์ภายใต้ พันธนาการ 
จึงมีเส้นวงโคจรในแต่ละคน เป็นของตัวเอง



ในหนึ่งวัน วงโคจรชีวิตของเราจึงมักจะเป็นดังนี้



ตื่นเช้า ออกจากบ้าน ไปที่ทำงาน  ออกจากที่ทำงาน ก็กลับบ้าน  
สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน เพื่อเก็บเงินนั้นไว้ไปซื้อหา ไปแลกเป็นอาหาร
 ค่าที่อยู่อาศัย ค่าเครื่องนุ่งห่ม ค่ายารักษาโรค
 เส้นวงโคจรชีวิตเรา มันวนเวียนซ้ำซากอยู่อย่างนี้
 วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จากเส้นผมบนหัวสีดำ ก็กลายเป็นสีดอกเลา
 และสีขาวในที่สุด แต่เส้นโคจรของเราก็ยังคงเป็นเช่นนี้



เราสูญเสียวิถีชีวิต ตามที่ควรจะเป็น 
เราสูญเสียการใช้ชีวิต ปฏิสัมพันธ์ กับสังคมรอบข้างตามที่ควรจะเป็น
 เราถูกผู้อื่นขีดเส้นให้เดิน ตั้งแต่ เรียน ทำงาน แล้วก็ แก่ เจ็บป่วยไข้
 เราทำงานอย่างหนัก ในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายทรุดโทรม
 แล้วก็นำเงินนั้นมารักษาตัวเอง 
บางคนแทบไม่มีโอกาส ได้หลุดจากกรอบนี้ไปได้เลย
จน วาระสุดท้ายของชีวิต เราทำเพื่ออะไร



มันเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆหรือไม่
 มันเป็นสิ่งที่เราอยากให้เป็นจริงๆหรือไม่
 เส้นวงโคจรชีวิตนี้ มันเป็นสิ่งที่เราเลือก หรือคนอื่นเลือกให้เรากันแน่
 เราทำงานให้คนอื่น ตั้งแต่เรียนจบจนแก่ชรา 
ออกจากบ้าน 6-7 โมงเช้า เพื่อเข้างานให้ทัน 8 โมงเช้า
 และเลิก 5 โมงเย็น กว่าจะถึงบ้าน ก็ 1 - 2 ทุ่ม ในแต่ละวัน



เราเคยถามไหมว่าทำไมเราทุ่มเทมันขนาดนั้น
 ทำไมเราเอาชีวิตไปทิ้งขนาดนั้น 
ถ้า.. ถ้ากลับกัน ถ้าเราทำอะไรเป็นของตนเองบ้าง
 และทุ่เทให้มัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นบ้างล่ะ
 ทำเหมือนที่เราทุ่มเทให้คนอื่นดูบ้าง 
ชีวิตเราจะดีขึ้นกว่านี้หรือไม่ 
ชีวิตเราจะสบายกว่าที่เป็นอยู่นี้หรือไม่



ถ้าคิดแบบแหกกฎ ก็ต้องบอกว่า 
นั่นเป็นโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิต
 เปลี่ยนแปลงสังคม 
แต่ถ้าคิดแบบคนอยู่ใต้อาณัติแห่งกฎ
 ก็ต้องบอกว่าไม่ได้หรอก
 เพราะเราไม่มีความสามารถ ตรงนั้นแล้ว 
เราสูญเสียความสามารถนั้นไปแล้ว
 เพราะเราถูกเบี่ยงเบนวิถีชีวิตความเป็นคน  มานานเกินไป
 จนเราสูญเสียทักษะนั้นไปหมดแล้ว 
เราถูกสอนให้เรียนให้ดี เรียนให้จบ แล้วก็เอาตัวไปเป็นลูกน้องเขา
 ไปสิงสถิตย์ในโรงงาน ในออฟฟิศ 
ทำงานแลกเงินเพียงเล็กน้อย สร้างความมั่งคั่งให้เขา 
มานานเกินที่เราจะกลับไปตรงนั้นได้
 มันจึงเป็นวิถีชีวิตของเราไปแล้ว และยอมรับมันเพราะนี่แหละชีวิต


ปรัชญาชีวิต แง่คิด มุมมองจาก กังวาล ทองเนตร


เพลงหนุ่ม 3 ฤดู คำร้อง ทำนองโดย กังวาล ทองเนตร
กังวาลทองเนตร ขับร้อง (ไกด์ไลน์ ) ลิขสิขสิทธิ์เพลงของ กังวาล ทองเนตร