วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ12


พอกลับถึงโกดังที่พักซุกหัวนอน
เราก็จัดแจงปูเสื่อผืนเก่าลงกับพื้น
หยิบหมอนมาวาง นอนเอนหลัง
กะจะให้มันหลับ

แต่ทำไมวันนี้ดวงตาของเรามันหลับไม่ลง
ผุดลุกผุดนั่งอยู่ทั้งคืน กระวนกระวาย
กระส่ายกระสับ
หัวใจมันรุ่มร้อน
เหมือนมีไฟกองใหญ่มาสุมใจเรา

เสียงหัวใจมันสะอื้นไห้จนอกสั่น
ครุ่นคิด นึกย้อนเข็มนาฬิกา
ทบทวนอดีต
ตั้งแต่มาเจอเธอ
ไม่มีเลยซักวันที่เราจะขัดใจกัน
ไม่มีเลยซักวันที่เราจะงอนหรือง้อกัน

แต่ทุกวันของเรา
มีแต่กรุ่นไอรักที่หอมหวาน
มีแต่ความสุขทุกช่วงเวลานาที
ทุกนาทีที่มันผ่านมา
มันเต็มไปด้วยรอยอดีตรักสองเราที่แสนจะงดงาม
นี่คงเป็นสวรรค์ลิขิตให้เรามารักกัน

แล้วทำไมล่ะ
แล้วทำไมเมื่อให้เรามารักกัน
แล้วสวรรค์ต้องมาพรากรักเราอย่างไม่ใยดีเช่นนี้

เราเคร่งเครียด
นอนคิดไปเรื่อยจนเผลอหลับไปยันเช้า

พอได้สติก็ตื่นล้างหน้าอาบน้ำแปรงฟัน รีบไปเปิดร้าน จัดหน้าร้านตามปกติ
แต่หัวจิตหัวใจของเราวันนี้มันไปนั่งคอย
รอริญอยู่ที่สถานีรถไฟก่อนที่จะถึงเวลาแล้ว
หัวใจมันเรียกร้องอยากไปที่นั่น

แต่อีกส่วนลึกของหัวใจ
ก็อยากให้เวลาของวันนี้มันยืดยาวออกไป อย่าให้มีค่ำคืนนี้เลย
ริญจะได้ไม่ต้องจากเราไป

แต่ความจริง 
แม้มันจะทำให้ใครต่อใครเจ็บปวด
แม้เราไม่อยากยอมรับมัน
แต่มันก็คือความจริง
มันคือสิ่งที่เราจะต้องเผชิญอยู่ข้างหน้า

ไม่แน่
นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์และบททดสอบที่สวรรค์จะใช้ทดสอบความรักสองเรา
เราต้องเข้มแข็ง เราต้องอยู่ต่อไปให้ได้
เราต้องรับบททดสอบนี้มาทำ
และก้าวพ้นผ่านมันไปให้ได้

เราทำงานในวันนี้ด้วยกายเท่านั้น
หามีใจและความกระตือรือล้นไม่
มันเฉื่อยชา ไร้เรี่ยวแรง
ภายในใจห่อเหี่ยว
เหนื่อยท้อ
เหมือนหัวใจจะขาดรอนๆ
ในที่สุดเราก็ฝืนมันผ่านพ้นไปได้จนเลิกงาน
เราไม่รีรอที่จะรีบเก็บของเข้าร้าน
ปิดหน้าร้าน
รีบวิ่งกลับไปโกดัง
ไปอาบน้ำท่าจัดแจงตัวเองจนเสร็จสรรพ
ก็ออกเดินตรงตามแนวถนนรื่นรมย์ไปยังสถานีรถไฟขอนแก่น
ตั้งแต่เวลาได้เริ่มต้นเพียงทุ่มนึงเท่านั้น
พอไปถึงเราก็เดินตรงไปที่ชานชาลา
หาที่นั่ง มองซ้ายมองขวา
เห็นผู้คนเดินหิ้วกระเป๋า
ถือข้าวของจูงลูกจูงหลานเดิน เข้าเดินออก
ขึ้น-ลงไม่ขาดสาย

เดี๋ยวรถไฟวิ่งเข้าเทียบชานชาลา
เดี๋ยวก็วิ่งออกจากชานชาลา
เดี๋ยวเสียงระฆังสัญญาณปล่อยรถดังครั้งแล้วครั้งเล่า
เรานั่งสังเกตุดูจนเผลอลืมตัว

สักครู่ก็ได้ยินเสียง
พร้อมรู้สึกเหมือนมีมือมาแตะที่่หัวไหล่
ทิวจ้ะริญมาแล้ว เราหันไปมอง

ริญ เราอุทานออกมา
ริญขอพ่อออกมาก่อนเวลานิดหน่อย
นี่เพียงทุ่มเศษเท่านั้นเอง
เราจะไปไหนกันดีจ้ะทิว ริญถาม

งั้นเราไปเดินตลาดเดินห้างแถวนี้ก่อนดีไหมริญ เราเสนอ
ก็ดีจ้า เธอตอบ
แล้วเราก็เรียกสามล้อหน้าสถานีปั่นพาเราไปที่ตลาดเก่ากลางเมืองขอแก่น
เราสองเข้าไปเดินห้าง แฟรี่ทาวน์ ห้างเซ็นโทซ่า ซื้อข้าวของ
ให้ริญไปหลายอย่าง

ยังพอมีเวลาเหลือ เราก็ชวนกันไปไหว้พระที่วัดศรีจันท์ ที่อยู่ใกล้ๆ
แล้วก็นั่งสามล้อไปไหว้พระธาตุขามแก่น ซื้ออาหารไปนั่งกินกันที่ริมบึงแก่นนคร
จนเวลาใกล้สามทุ่ม

เราสองคนก็เรียกสามล้อพากลับสถานีรถไฟ
พอถึงสถานนีเราสองคนก็ได้เดินเกี่ยวแขน
และเดินลอดขอนแก่นที่อยู่หน้าสถานีรถไฟนั้น
ก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบนของชานชาลา

ริญมีความสุขมากทิว ริญพูดขึ้นมา
ทิวก็เช่นกัน ริญ เราตอบกลับ

ทิวจ้ะ
ทิวอย่าลืมแวะไปที่ริมบึงสีฐาน
ที่ใต้ต้นสนคู่นั้นนะจ้ะ
ริญคงคิดถึงมันมาก
เพราะริญเคยวิ่งเล่นนั่งเล่นอยู่ที่นั่น
ตั้งแต่ริญเด็กๆ
เวลาโกรธงอนพ่อแม่ริญก็หนีมานั่งริมบึงนี้
จนมาพบกับทิว
เราก็ใช้สถานที่ตรงนี้เป็นที่สานก่อรักเรา
ริญคงคิดถึงมันมาก
ริญไม่เคยจากมันไปนานๆซักที ริญพร่ำอาลัย

ทิวรับปากริญว่าทุกเย็นหลังเลิกงาน
ทิวจะมานั่งที่นี่ทุกวัน
ให้เหมือนกับตอนที่ริญยังอยู่ที่นี่
ทิวสัญญาจ้ะ

สักครู่เดียวพ่อกับแม่ริญ
ก็เดินขึ้นมา
เอ้า..อยู่ที่นี่กันเอง พี่ริญพูด
เรารีบลุกขึ้นสวัสดียกมือไหว้พ่อกับแม่ริญ
และช่วยเดินไปถือข้าวของเครื่องใช้ของริญ
มาวางไว้ริมชานชาลา
บริเวณที่รถไฟจะเข้าเทียบท่า
สักครู่
ทางสถานีก็ประกาศ
ว่าอีกห้านาทีขบวนรถไฟดีเซลรางเที่ยวล่อง
หนองคาย-กรุงเทพกำลังจะวิ่งเข้ามาเทียบท่า
ขอให้ผู้โดยสารออกจากบริเวณแนวเส้นเพื่อความปลอดภัย

ชั่วอึดใจเดียวก็มองเห็นไฟพุ่งสว่างจ้าเข้ามาพร้อมเสียงหวูดแตร
ที่ดังลั่นพร้อมกับเสียงประกาศจากสถานีว่า
รถไฟเที่ยวล่องหนองคาย-กรุงเทพ ได้เข้าเทียบท่าชานชาลาแล้ว
พ่อริญและแม่รีบลุกเดินถือกระเป๋าก้าวขาขึ้นบนรถ
เรารีบช่วยริญถือกระเป๋า
เดินขึ้นไปส่ง
แล้วก็รีบลงจากรถมายืนรอริญอยู่ชานชาลา
สักครู่ริญก็เปิดหน้าต่างยื่นชะโงกหน้าออกมา
ริญต้องไปแล้วนะทิวพร้อมยื่นมืออกมานอกรถ
เรายื่นมือไปคว้ามือเธอ

สักครู่เสียงระฆังสัญญาณปล่อยรถก็ดังขึ้นพร้อมเสียงหวูดแตร
ทันที่ที่ล้อขยับหมุน ขบลางเหล็กดังกึกกักๆๆ
เราสองก็รู้ทันทีว่าเวลาจากกันมาถึงแล้ว หมดเวลาเราแล้ว
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสถานี
เราก็วิ่งตามจนรถพ้นสถานีและยืนมองเห็นริญชะเง้อหน้าโบกมือลาอยู่ไกล
จนขบวนรถเลือนหายไปลับตา
พร้อมกับหัวเข่าของเราก็อ่อนแรงนั่งทรุดลงกับพื้น
อยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินย้อนกลับมายังสถานีด้วยความอาลัยรัก


                                            


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น