วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความในใจ



มิตรทั้งหลาย

เวลาผมหยิบปากกาขึ้นมา เขียนกลอน เขียนเพลง เขียนบทวิเคราะห์ หรืออื่นๆ
ผมไม่ได้เขียน เพราะผมอยากจะเป็นนักเขียน ไม่ได้เขียนเพราะอยากเป็นนักกวี ไม่ได้เขียนเพราะอยากเป็นนักวิเคราะห์ หรือนักแต่งเพลงแต่อย่างใด

ผมเขียนเพราะผมต้องการะบายสิ่งที่ผมมีอยู่ในใจ มีอยู่ในสมอง ระบายออกมาทางงานเขียนรูปแบบต่างๆ ผมเขียนจากสิ่งที่ผมรู้ ผมเห็น และผมกำลังคิด มันเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เราได้ไปโน่นมานี่ พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ทำให้เราได้รู้ได้เห็น

และบางครั้งมันก็เกิดจากจินตนาการของผม เป็นจินตนาการ ต่อยอดจากสิ่งที่เห็น คือสมองเราคิดต่อจากสิ่งที่เราเห็น บางครั้งเราก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นอารมณ์ช่วงเวลานั้นๆจริงที่เราบันทึกเอาไว้

เรารู้ว่าบางส่วนบางสิ่งบางถ้อยคำ มันไม่สมบูรณ์ แต่ผมก็ไม่กลับไปปรับไปแก้ตรงนั้น เพราะมันเป็นคนละอารมณ์กัน ถ้าเราแก้ มันก็จะเขวไปตามอารมณ์ใหม่

เช่นเดียวกันจะให้ผมนั่งปั้นอารมณ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับไปเขียนให้เมือนเก่าผมก็ทำไม่ได้ เพราะมันผ่านมาแล้ว สิ่งที่ผมคิดเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะผ่านไป ถ้าไม่ได้บันทึกไว้ มันก็จะผ่านไปเปล่าๆ
นี่คือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมนำมาเขียนมาบันทึกไว้

ผมโชคดีตรงที่สวรรค์ให้พรมา หรือพรสวรรค์ พรสวรรค์คือสิ่งที่เรามีอยู่และเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้เรียนรู้มาโดยตรง มันเกิดขึ้นเอง เช่นการเขียนบทกวี เรื่องราว บรรยายภาพที่เราเห็นในแบบของเรา มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้หรอกว่ามันคืองานเขียนงานประพันธ์แบบไหน

แต่เมื่อเวลาผ่านมาเรามีโอกาสได้เรียนรู้ จึงนำงานนั้นมาดูเปรียบเทียบกันว่าที่แท้งานที่เราเขียนเป็นงานประเภทไหน เราจึงแยกงานประพันธ์แต่ละประเภทออกได้ชัดเจน ว่าอย่างไหนคืออะไร

ดังนั้นทุกเรื่องราวที่ผมเขียนส่วนใหญ่มันก็เกิดขึ้นกับวิถีชีวิตของผมนี่เอง มีส่วนที่เป็นชีวิตจริงเป็นหลัก
มีสิ่งที่เห็นมาหรือประสบการณ์ มีความคิดเห็น มีจินตนาการ มีความต้องการแฝงอยู่ในนั้น

ผมไม่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้จากมัน แต่ผมไม่อยากให้มันผ่านไปโดยที่ไม่มีการเก็บบันทึกเอาไว้ และผมไม่สนใจว่าใครจะเรียกเราว่าอะไร เพียงแต่เรารู้ตัวเราเองว่า เราทำอะไร เท่านั้นก็พอ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น