วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ34


กลับถึงบ้านวันนี้ เราก็โล่งใจไปได้อีกเปราะหนึ่ง
ที่อยากน้อยก็สามารถทลายกำแพงกั้นของคุณย่าริญลงไปได้
ปัญหาหัวใจของเราถึงเวลานี้จะเรียกได้ว่า ไม่มีแล้วก็คงไม่เกินความจริงมากนัก
จะเหลืออยู่ก็แต่ นายเอกอมรนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมรามือจากเราสองคน

นายเอกอมรพยายามที่จะขับรถไปดักรอริญอยู่ที่คณะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่ก็พลาดกับริญ เนื่องจากเธอจะหลบหน้าและหาทางปกปิดไม่ให้
นายเอกอมรทราบข่าวความเคลื่อนไหวของเธอ

ต่างจากตัวเราที่ 
วริญญาจะบอกกล่าวอยู่เสมอว่าวันนี้เรียนกี่โมง เลิกกี่โมง 
นัดเจอกันที่ไหน หรือวันไหนไม่มีเรียนบ้าง
สิ่งต่างๆเหล่านี้คือส่วนที่นายเอกอมรไม่รับรู้

นับจากที่เราได้ไปสอนน้องหญิงตั้งแต่วันนั้นแล้ว
ตัวเราก็ได้กลายเป็นแขกประจำของบ้านหลังนี้มาโดยตลอด
สามารถเข้านอกออกในได้ทุกเวลา
และได้รู้ความจริงจากการบอกเล่าของคุณย่าริญว่า

ครอบครัวเราเหมือนมีกรรม
คุณย่ามีลูกสองคนก็คือคุณพ่อริญ กับอาสาวของเธอที่อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กกับสามีเวลานี้
เพียงสองคนเท่านั้น
พ่อของริญก็รับราชการต้องไปอยู่ที่ต่างจังหวัดตลอดเวลา
จนไม่มีเวลามาอยู่กับพ่อแม่ คือคุณปู่คุณย่าริญ
จนไปมีครอบครัว ก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวคือริญ
ส่วนน้องสาวพ่อของริญก็รับราชการรวมถึงสามีเธอด้วย
จึงไม่ค่อยมีเวลาได้พบปะพูดคุยกันเท่าไหร่ แม้จะอาศัยอยู่ในรั้วเดียวกัน
อาของริญก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวเหมือนกันคือน้องหญิง
ปู่ของริญก็รับราชการมาตลอดชีวิต
เรียกได้ว่าครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวข้าราชการโดยแท้ มาแต่ปู่
มีลูกมีหลานน้อยคน
ภายในบ้านที่มีเนื้อที่มากมายจึงเต็มไปด้วยความเงียบเหงาอย่างที่เห็น

ครอบครัวเราพ่อแม่ลูก ไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้ากันสมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นเขาทั่วไป

และนี่มาถึงรุ่นหลานก็ทำท่าว่าจะซ้ำรอยเดิม
แม้แต่ริญก็ต้องแยกจากครอบครัวมาเรียนอยู่ที่กรุงเทพ
ปล่อยให้พ่อสุพจน์ และแม่อรพิน พ่อแม่ของริญ ได้รับความรู้สึกเดียวดายเฝ้าบ้าน
เหมือนตอนที่ฉันเคยได้รับ

นี่คือบางส่วนที่คุณย่าริญได้บอกเล่าให้เราฟังถึงความเจ็บปวด
ที่พ่อแม่ลูกไม่เคยได้อยู่กันพร้อมเพรียงหน้า
แม้จะมีชื่อเสียงและสถานะทางสังคม
แต่กลับมีจิตใจที่ว้าเหว่เป็นยิ่งนัก

เมื่อเราได้ฟังก็ยิ่งได้เข้าใจความรู้สึกของคุณย่าริญที่ต้องแบกรับมาตลอดชีวิต

ส่วน
ความรักของเรากับริญมันสุกจนงอมมานานหลายปีแล้ว
ตอนนี้เรากับริญสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองโดยเปิดเผยได้
โดยที่คุณย่าเธอรู้เห็นและอนุญาต
เมื่อมีเวลา เสาร์อาทิตย์ถ้าเราไม่มีงานเราก็จะไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่าง
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันค้างคืนด้วยกันที่คอนโดเราบ้างสถานที่ท่องเที่ยวบ้าง
เรากับวริญญาเวลานี้
โดยพฤตินัยแล้ว ถือว่าเราเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แบบ
ยังขาดก็แต่ทางนิตินัยหรือทางกฎหมายเท่านั้นที่เรายังไม่ได้เป็น
และเราก็รอมันอยู่อย่างเร่งวันเวลาให้มาถึงโดยเร็ว

จะเป็นเพราะเรากับริญรักกันเป็นรักแรกของทั้งคู่หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ที่ทำให้เรา
ทั้งสองรักกันมากเพราะเรารักษารักแรกของเราได้มาอย่างยาวนาน
ยิ่งเรารู้จักกันมานาน
ยิ่งทำให้เรารู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ชนิดมองตาก็รู้ถึงใจ
เมื่อเราได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเฉกเช่นคู่สามีภรรยากัน
ก็ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้นมิมีเสื่อมคลายลงไปได้เลย
วันไหนที่เธอไม่มีเรียน วริญญาเธอก็จะมาทำหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนอยู่ที่คอนโดเรา
เราช่วยกันประคับประคองดูแลหัวใจให้กันและกัน เติมรักให้กันมิเคยว่างเว้น
จนขณะนี้ริญจวนเจียนจะจบอยู่แล้วในเดือนหน้า
ขณะที่เราก็เดินหน้าไปได้อย่างดีทั้งการเรียนและการงานเช่นกัน
ริญบอกว่าเมื่อเธอจบ เธอต้องถูกส่งตัวเข้าตามศูนย์เพื่อไปปฏิบัติงาน
ตามขั้นตอนที่เขากำหนดไว้
ซึ่งพวกเราทั้งสองก็ไม่ได้ห่วงใยหรือวิตกแต่อย่างไร

สิ่งเดียวที่วริญญา เธอคาดหวังเอาไว้คือ
อยากกลับบ้านอยากลับไปเปิดคลีนิคเล็กๆที่ขอนแก่นซักแห่งหนึ่ง 
และให้เราย้ายกลับไปอยู่ที่โน่นไปครองรักอยู่ด้วยกันตราบวาระสุดท้ายของชีวิต
ซึ่งถ้าดูตามรูปกาลแล้ว ก็ไม่น่าจะมีอะไรแปรเปลี่ยนไปจากนี้แล้ว
เราสองคนรอเพียงแค่วันที่ริญเรียนจบอย่างเดียวเท่านั้น

วันหนึ่งหลังจากที่ริญมาอยู่กับเราที่คอนโดตั้งแต่วันเสาร์
ในคืนวันอาทิตย์ประมาณทุ่มเศษๆเราก็พาเธอกลับบ้านคุณย่าของเธอ

หลังจากที่เรากลับไปถึงก็ไปกราบคุณย่าเธอ
แล้วคุณย่าเธอก็กล่าวขึ้นมาว่า
หลานทั้งสองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
จะไปไหนมาไหนด้วยกันนานๆคนก็จะมองว่าไม่งาม
เธอต้องมาสู่ขอหลานสาวของฉันซะทิว
หมั้นหมายกันให้มันเรียบร้อยหรือขอวันนี้แต่งมันวันนั้นเลยก็ได้
ย่าเองก็ชักรำคาญ เจ้าเอกอมรมันมาคอยระรานอาละวาด
ทุกครั้งที่ริญไม่อยู่มันก็มาเอ็ดตะโรเอากับย่าอยู่เป็นประจำ
เธอไปหาคนที่เธอนับถือมาซักคนสองคนพอเป็นพิธีก่อนก็พอ
แล้วย่าจะให้ริญโทรเรียกพ่อแม่เขาลงมาจากขอนแก่น
จัดการหมั้นหมายแต่งงานมันให้เรียบร้อยไปซะเลย
ไหนๆก็รักกันมานาน แต่งช้าแต่งเร็วมันก็แต่งอยู่วันยังค่ำ
นี่เป็นคำพูดที่เราทั้งสองคนดีใจอย่างสุดขีด
เราโน้มตัวมาสวมกอดกันต่อหน้าคุณย่าริญ
และก้มลงกราบแทบเท้าขอบคุณท่านที่เข้าใจในรักเรา

แล้ววริญญาก็รีบลุกไปโทรศัพท์กลับบ้านแจ้งข่าวกับพ่อแม่เธอ
และให้คุณพ่อคุณแม่เธอรีบลงมาโดยด่วน
ส่วนตัวเราก็ไม่รอช้า
รีบโทรศัพท์ไปหาพี่พงษ์ และคุณกิตติพงษ์ 
ซึ่งเรานับถือเป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดให้เตรียมตัวมาเป็น 
ผู้ใหญ่เพื่อเตรียมสู่ขอวริญญาแต่งงานในวันพรุ่งนี้



                                               



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น