วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ27



จากประสบการณ์เมื่อคราวก่อน
มันทำให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้นในคราวนี้
จะไปส่งของก็เป็นเวลาที่ไปรษณีย์ปิดทำการไปแล้ว
เราต้องทำภาระและหน้าที่ไปส่งฝันของเพื่อนแต่ละคนให้เสร็จสรรพเสียก่อน
ก่อนที่เราจะคิดการทำสิ่งอื่นใดต่อไป
ว่าแล้วเราก็เดินไปร้านค้าแถวนั้นขอซื้อซองจดหมายและแสตมป์
มาจำนวนมากเลยที่เดียว
แล้วเดินแบกของย้อนมานั่งอยู่ภายในหัวลำโพงเหมือนเดิม
ท่ามกลางที่ผู้คนเดินขวักไขว่สวนกันไปมาเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก อยู่ตลอดเวลา
เราตัดสินใจใช้โอกาสนี้คัดแยกจดหมายเพื่อนๆพี่ออกจากกันแล้วจ่าหน้าซองตามที่อยู่ที่เราได้จดบันทึกเอาไว้
ด้านหลังจดหมายของแต่ละคน
เมื่อจ่าหน้าซองเสร็จก็พับจดหมายใส่ซองติดแสตมป์คัดแยกไว้ต่างหาก
คนไหนที่มีของฝากเราก็พับจดหมายใส่ซองอย่างเดียวไม่ติดแสตมป์
กะว่าจะยัดใส่ในกล่องปลาหมึกแห้งนั้นส่งไปพร้อมกันเลย

ส่วนเงินที่พี่เอก กับพี่หวิลให้มาเป็นค่าใช้จ่าย
เราก็ตัดสินใจพับใส่ซองจดหมายของทั้งสองคนจนหมดสิ้นเพื่อเตรียมส่งไปพร้อมกับพัสดุในวันพรุ่งนี้
เรานั่งจัดแจงและคัดแยกจนเรียบร้อยก็เตรียมรอไว้พรุ่งนี้ค่อยนำส่งทีเดียวพร้อมกัน
เงินสดเราที่เหลือติดตัวมาจากขอนแก่น500บาท
ได้เงินจากเรืออีก 400 บาท
จ่ายค่ารถสองแถว100 บาท ค่ารถไฟ 199 บาทค่ากล่องและเชือก 20 บาท
รวมแล้วเงินสดติดตัวเวลานี้เหลือประมาณ 500 บาทเศษๆ เก็บไว้เป็นค่าส่งของพรุ่งนี้
ส่วนเงินเก็บจากการที่เราทำงานมานับสามปีที่ขอนแก่นหลังจากส่งพ่อแม่แล้วก็เหลือติดบัญชีอยู่เกือบสามหมื่นบาทเราตั้งใจจะเก็บส่วนนี้เอาไว้ใช้จำเป็นจริงเท่านั้น
คืนนี้เราตัดสินใจหามุมสงบที่ไหนซักมุมภายในหัวลำโพงนี้เป็นที่พักหลับนอนพอข้ามคืนไปได้
ภายหลังจากเข้าห้องน้ำห้องส้วมเสร็จเราก็ได้เก้าอี้ว่างที่หนึ่งพอเป็นที่เหยียดหลัง
และก็ถือวิสาสะยึดเก้าอี้ตัวนี้เพื่อข่มตานอนพอให้ข้ามคืนนี้ให้ได้เสียก่อน
เราพยายามข่มตาอยู่นานท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านเดินผ่านไปมา
กว่าจะหลับตาลงได้จนเช้าวันใหม่
เรารีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพ
รีบถือของออกจากหัวลำโพงเดินถามผู้คนแถวนั้นเพื่อจะไปส่งของที่ไปรษณีย์
เราหิ้วของไปรอที่หน้าที่ทำการไปรษณีย์ตั้งแต่ยังไม่เปิดทำการ จนเปิดทำการ
เราซื้อกล่องพัสดุมาหลายใบคัดแยกมัดปลาหมึกแห้งตามรายชื่อที่เราเขียนกำกับไว้
บรรจุลงกล่องพร้อมซองจดหมายที่มีเงินของพี่เอกและพี่หวิลอีกคนละพันลงไปด้วย
ส่วนจดหมายที่ติดแสตมป์แล้วเราก็หยอดลงตู้รับจดหมาย รอเวลาให้ไปรษณีย์มาไขตู้รับช่วงต่อไป
เราส่งของเสร็จสรรพใช้เงินค่ากล่องค่าส่งไปสี่ร้อยกว่าบาท
เวลานี้เราเหลือเงินติดตัวอยู่ 130 บาท
เราเดินออกจากไปรษณีย์ไปหาซื้อขนมปังมาห่อหนึ่งพร้อมนมจืดกล่องหนึ่งนั่งกินและซื้อน้ำเปล่ามาดื่มอีกขวด สมควรแก่เวลาเราเดินกลับไปที่หัวลำโพงอีกครั้งกลับไปเริ่มต้นตรงที่เราเคยมาเมื่อครั้งแรก
ก็ยังเห็นพี่แม่ค้าคนก่อนที่เราเคยมาถามทาง กำลังยุ่งอยู่กับการขายของ
และก็เดินไปอีกหน่อยเราก็เหลือบมองไปเจอคู่ปรับเก่า นั่นคือคนขับแท็กซี่ที่พาเราไปทิ้งที่สวนจตุจักร
ไอ้นี่นี่เองที่ที่ทำกูคราวก่อนจนต้องไปร่อนเร่อยู่กลางทะเล เราคิดในใจ พร้อมเดินตรงเข้าไปหา

เราตรงเข้าไปสะกิดแขนคนขับแท็กซี่
นี่ยังกล้ามาหากินอยู่ตรงนี้อีกหรือไงพี่ เราพูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง
แท็กซี่คนนั้นหันตามเสียงเราและยืนจ้องหน้าเราตั้งแต่หัวจรดเท้า
ก่อนจะยกมือขึ้นมาชี้เรา ไอ้น้องแกนี่เองฉันจำแกได้  แท็กซี่โพล่งออกมา
เจอก็ดีแล้ว แกจะไปซอยหลังสวนอีกไหมพี่จะไปส่ง แท็กซี่เสนอ
เรารีบตอบกลับไป
อย่าดีกว่าพี่คราวนี้ไม่ได้กินผมหรอก
คราวนี้พี่พูดจริงน้องพี่เป็นคนดีแล้ว
ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นพี่ไม่สบายใจเลยและรู้สึกผิดมาตลอด
วันนี้ขอให้พี่ได้ใช้คืนนะน้องนะ แท็กซี่ยืนยันหนักแน่น
เราดูคราวนี้เห็นพี่แท็กซี่พูดท่าทางจริงจังหนักแน่น ก็ถามไปว่า
แล้วพี่จะพาผมไปทางไหน
นี่เลยน้องวิ่งตรงไปตามถนนนี้ไม่ไกลเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชดำริ เลี้ยวขวาเข้าศาลาแดงก็ถึงแล้วน้องซอยหลังสวน ถ้าผิดจากนี้น้องเอาเรื่องพี่เลย ไปเลย แท็กซี่อธิบายเส้นทางและจับแขนเราเดินไปขึ้นรถ
เราเห็นท่าทางหนักแน่นก็เดินตามไปอีกครั้งและไม่นาน
รถก็วิ่งไปตามเส้นทางดังว่า
เรามองเห็น สวนลุมพินีแล้วกับตาตัวเอง จึงคลายใจ
ไม่นานแท็กซี่บอกบ้านเลขที่อะไรน้องพี่แท็กซี่ถาม
ถึงซอยหลังสวนแล้วใช่ไหมพี่เราถามกลับ
นี่แหละซอยหลังสวน แท็กซี่ตอบเรา
ถ้างั้นพี่จอดให้ผมลงตรงนี้เดี๋ยวผมจะเดินหาเองขอตั้งตัวก่อน เราบอกแท็กซี่ให้จอด
ได้ๆงั้นพี่จอดให้ตรงนี้เลย ว่าแล้วแท็กซี่ก็จอด
เราส่งธนบัตรหนึ่งร้อยที่มีติดตัวร้อยเดียวเวลานี้ให้
แท็กซี่บอก ฟรีน้อง
ไม่ได้หรอกพี่ พี่เสียน้ำมันมาพี่ต้องรับไป เราย้ำ
ให้พี่ได้ไถ่โทษคราวก่อนนะน้องนะไม่งั้นพี่ไม่สบายใจเลย พี่แท็กซี่บอก
ถ้างั้นพี่รับไป50 บาท เรายืนยัน
แท็กซี่รับไปพร้อมยื่นเงินทอนกลับมาให้เรา 50 เรารับเงินทอน แล้วบอกกับแท็กซี่ว่า
ต่อไปนี้เราหายกันนะพี่ แท็กซี่ยิ้มรับก่อนพูดว่าขอบใจเองนะน้องพี่สบายใจแล้ว โชคดีนะ เราปิดประตู
ให้เขาวิ่งออกไปทำมาหากินต่อไป

เรายืนมองตามแนวถนนซอยหลังสวนอยู่พักก่อนหาที่นี่นั่งหยิบสมุดพกออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูเลขที่บ้านที่ริญเคยให้ไว้ออกมาดู แล้วก็เดินดูไล่ไปตามแนวทางจนเจอบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง เราหยุดมองเลขที่หน้าบ้าน
กับที่อยู่ที่เราเขียนไว้มันตรงกัน จึงตัดสินใจว่าคงใช่หลังนี้แน่
เราเดินตรงเข้าไปที่ประตูบ้านชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน
ภายในบริเวณบ้านมีรถจอดอยู่สามคัน มีบ้านหลังใหญ่หนึ่งหลัง
เป็นเรือนหลังเล็กอีกสองหลังอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน
มีสนามหญ้าในบ้านเนื้อที่สนามหญ้าประมาณครึ่งงานเห็นจะได้
เรายืนพิจารณาอยู่นาน
จึงตัดสินใจจะเดินไปกดกริ่งเรียกคนในบ้าน
แต่พอเดินไปที่กริ่ง เราก็หยุด พร้อมกับเดินถอยออกมา
เรามองดูตัวเอง
สภาพเราตอนนี้มันไม่มีร่องรอยของทิวคนเก่าเหลืออยู่เลยทั้งดำทั้งเหม็นกลิ่นคาวปลา
เสื้อผ้าก็เก่าหงอกจนหมองหม่นไป รองเท้าก็ขาด
เราไม่อยากให้ริญมาเห็นเราในสภาพนี้เราจึงเดินถอยกลับออกไปห่างๆหน้าบ้าน
ครุ่นคิดอยู่นาน จึงตัดสินใจนั่งเขียนจดหมาย บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ริญรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างที่ผ่านมา และบอกให้ริญรู้ว่าเวลานี้เราได้กลับเข้ามากรุงเทพอีกครั้งแล้วและได้มายืนอยู่ที่หน้าบ้านคุณย่าของริญแล้ว แต่ทิวไม่พร้อมจึงเขียนจดหมายฝากข่าวให้ริญรู้เอาไว้
และวันหน้าเราจะกลับมาใหม่

เมื่อเราได้เขียนบรรยายเรื่องราวไว้แล้วก็พับใส่ซองที่เหลือมา
จ่าหน้าซองถึง วริญญา และลงชื่อกำกับว่าจากทิวไว้หน้าซอง
จากนั้นเราจึงนำไปสอดไว้ที่กล่องรับจดหมายที่ติดไว้หน้าประตู
ก่อนจะกดกริ่งเรียกพร้อมกับตระโกนว่า จดหมายครับ แล้วเราก็รีบเดินหันหลังกลับมา
และแอบซุ่มอยู่บริเวณนั้นอีกตั้งนานเพื่อรอดูให้แน่ใจว่ามีคนออกมารับจดหมาย
เราเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่นานมีคนมาเปิดประตู เป็นผู้หญิง
เรามองดูจนแน่ใจว่าไม่ใช่ริญ เราจึงเดินออกมาจากที่แอบซุ่มเดินตรงไปหาเธอ
ผู้หญิงคนนั้นเปิดตู้รับจดหมายและหยิบจดหมายออกมาดู
และกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
เดี๋ยวก่อนครับเราร้องตาม
เธอหยุดและหันมามองเรา
มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ
ไม่ทราบว่าที่นี่มีคนชื่อ วริญญาอยู่ไหมครับ เราถาม
เธอมองหน้าเราอย่างพิจารณา
เราก็ถามย้ำกลับไปอีกว่า วริญญา ที่มาจากขอนแก่นมาเรียนแพทย์ เธออยู่นี่ใช่ไหมครับเราย้ำ
คุณเป็นอะไรกับคุณริญคะเธอถาม
แสดงว่าริญอยู่นี่ใช่ไหมครับเราถามด้วยความอยากรู้
ใช่ค่ะคุณริญเธออยู่นี่และกำลังแต่งตัวจะไปเรียนอยู่สักพักคงออกมา เธอบอก
ผมเป็นเพื่อนกับริญครับตั้งแต่อยู่ขอนแก่นโน้นชื่อทิวครับ
เธอหยิบซองจดหมายขึ้นมาดู พร้อมกับพูดว่า
แสดงว่าจดหมายนี่เป็นของคุณสิคะ เธอถาม
แล้วทำไมไม่รอส่งให้กับคุณริญเองล่ะคะเดี๋ยวเธอก็ออกมา ผู้หญิงคนนั้นกล่าว
คือผมมีธุระรีบไปครับ คุณช่วยฝากให้เธอด้วยครับ วันหลังผมจะมาใหม่ ฝากด้วยนะครับ เราย้ำ
ก็ได้ค่ะ เธอรับปาก เราขอบคุณเธอก่อนที่จะเดินขอตัวห่างออกมา แอบซุ่มอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้นต่อ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น