วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สัดำ20


เมื่อเรือหันหลังให้กับฝั่ง
พวกเราทั้ง 8 คน ต่างยอมรับในโชคชะตา
พวกเรานั่งลงกับพื้นเรือ มองน้ำมองทะเลไปเรื่อย
เราสังเกตุเห็นสีน้ำทะเลตรงบริเวณใกล้แนวฝั่งจะมีสีฟ้าสวยงาม
ครั้นพอเรือวิ่งห่างฝั่งไกลออกไป น้ำทะเลกลับเป็นสีคราม ออกจะดำด้วยซ้ำ
แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เราหันหลังมองย้อนเข้าฝั่ง
เรามองเห็นฝั่งอยู่ไกลลิบๆออกไป
และไกลออกไปเรื่อยๆ จนหายไปลับตา
เวลานี้เรามองเห็นเพียงน้ำทะเลกับท้องฟ้า และเสียงเรือตังเกที่ดังสนั่นหวั่นไหว
เรือมุ่งหน้าตรงออกทะเลกว้างไปเรื่อย

พวกที่มาใหม่มารวมกันที่นี่ เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น
พวกเราลุกขึ้นเดินไปอยู่บริเวณเชิงเสากระโดงเรือที่ชายคนนั้นยืนอยู่
พวกแกทุกคน
ทุกคนที่อยู่บนเรือนี้ต่างมีที่มาและชะตากรรมเดียวกันกับพวกเองทั้งนั้น
คือไม่ถูกจับมาก็ถูกหลอกมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่วัยรุ่นทั้งนั้น
ทำไงได้วะงานบนเรือตังเกมันไม่มีใครอาสามาทำหรอกโว๊ย
ดังนั้นให้พวกเองยอมรับชะตากรรมซะ
เขามีค่าใช้จ่ายกับพวกเองคนละ 5,000 บาท
ดังนั้นพวกเองต้องทำงานอย่างน้อย 5 เดือนจึงจะมีอิสระและขึ้นฝั่งได้
ทุกคนบนเรือนี้ ไม่มีเงินเดือน
แต่..
เวลาออกฝั่งเขาจะจ่าย 200 เดี๋ยวพวกแกก็จะได้
และเวลาเข้าฝั่งเขาจะจ่ายอีก 200บาท
ทุกหกเดือนเขาจะมีเงินส่วนแบ่งจากการขายปลาที่พวกเราจับได้มาแบ่งให้
อาจจะ 5 พันบาท หมื่นบาท 2 หมื่นบาท ตามแต่ราคาและปลาที่เราจับได้
การออกเรือแต่ละครั้งจะไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับปลาที่เราจับได้ เราจะไม่แล่นเรือเข้าฝั่งโดยที่ปลาไม่เต็มลำเรือ
อาจจะ 7 วัน ถ้าโชคดี แย่หน่อยก็ 15 วัน หรือเดือนหนึ่ง หรือมากกว่านั้น
บางที่เกิดเหตุสุดวิสัย เช่นบนฝั่งกำลังมีพายุ เราก็ต้องทิ้งสมอนอนรอกลางทะเล

ฉันเป็นไต๋ก๋ง ใหญ่ที่สุดบนเรือนี้
ส่วนคนนั้นเป็นหัวหน้าพวกแกบนเรือนี้ เรียกตำแหน่งเขาว่า อิคิว ชื่อเอกพวกแกต้องเชื่อฟังเขา
ส่วนคนโน้นเรียกว่าชมพู่ หรือพ่อครัวประจำเรือเรา ชือถวิล หรือหวิล
ส่วนคนนั่งอยูไกลๆโน่น เป็นช่างเครื่องประจำเรือ ชือไก่
ส่วนคนที่เหลือ พวกเองก็ทำความรู้จักกันเองก็แล้วกัน

ในวันสองวันนี้พวกแกอยู่ระหว่างปรับตัวกับน้ำกับทะเล
ยังไม่ต้องทำงานแต่คอยดูพี่ๆเขาทำไว้
ทางที่ดีพวกแกรีบนอนหลับให้เต็มอิ่มอย่าเดินไปเดินมา
ไม่งั้นอ๊วกลากไส้แน่มึง
ทุกคนที่เรือผ่านเหตุการณ์นี้มากันทั้งนั้นมากบ้างน้อยบ้าง
ตามแต่สภาพร่างกายจะปรับตัวได้เร็วหรือช้า
ส่วนห้องน้ำ มองออกไปนอกเรือ นั่นแหละคือห้องน้ำของเรา เดี๋ยวพวกแกก็รู้
ส่วนน้ำอาบ ก็คือนำในแกนลอน แต่อย่าตักอาบ เราต้องเผื่อไว้เผื่อเรือเข้าฝั่งไม่ได้
ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเอา ล้างหน้าแปรงฟันได้ น้ำกินก็อันเดียวกัน
เข้าใจแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ไต๋ก๋งชี้แจงระบบงานและหน้าที่ของแต่ละคนและการบริหารบนเรือเสร็จ

ทุกคนต่างลุกไป พวกที่อยู่ก่อนพาเดินไปเปิดประตู
ประตูเรือกว้างและสูงประมาณ 50 เซนติเมตรมีแผ่นไม้เข้าล่องเลื่อนปิดเปิดด้านข้าง
พอลอดเข้าไปความสูงของห้องเรือ สูงประมาณ เมตรเดียวพอนั่งเหยียดหลังตรงได้ไม่ดีนัก
เป็นแผ่นไม้เหมือนกันกับตัวเรือ
ข้างในมีของระเกะระกะเกลื่อนกลาดทั้งห่อข้าวห่อของ เสื้อผ้า
ไม่เป็นระเบียบไม่รู้ของใครเป็นของใครพื้นห้องก็ลาดโค้งแอ่นตรงกลาง
ไปตามตัวเรือ
ทุกคนต่างจับจองที่นอนของตัวเอง
นอนสลับหัวสลับขากันไปมาตามความยาวของเรือหมอนซักใบก็ไม่มี
เรามองดูด้านข้างห้องก็คือหน้าต่าง กว้างไม่เกินแขน
 สูงประมาณหนึ่งศอกเป็นไม้เข้าล่องเหมือนกันใช้ดึงขึ้นเวลาปิด แล้วก็ดันลงเวลาเปิด
คนทั้งหมดจากที่เรานับมี 32 คนบนเรือลำนี้
มีไต๋ก๋งนั่งบัญชาการอยู่กับจอเรด้าบนหลังเก๋งคนหนึ่งตามที่เราออกมาจากห้องเดินสำรวจดู
ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่ขับเรือสลับสับเปลี่ยนกัน
ใต้ทัองเรือถัดจากห้องที่ใช้นอนลงไป ถูกกั้นเป็นสองห้อง
ห้องหนึ่งเป็นห้องครัว มีพ่อครัวหรือชมพู่ประจำการอยู่ที่นี่ และดูเหมือนจะเป็นห้องพักเขาด้วย
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นห้องเครื่องยนต์มีช่างเครื่องนั่งกำกับประจำอยู่เช่นกัน
ส่วนหัวหน้าคนงานหรืออิคิวคอยเดินตรวจตรารอบเรืออยู่

เมื่อเราเดินจนทั่วเรือก็กลับไปที่ห้องนอน
เห็นทุกคนกำลังหลับได้ที่ก็มีหลายคนกำลังนอนสูบบุหรี่ในห้องเดียวกัน
พื้นที่นอนเต็มจนหมด เรามองเห็นตรงกลางที่เป็นที่โค้งแอ่นกลางว่างอยู่ไม่มีใครนอน
เราจึงค่อยคลานเบียดคนอื่นเข้าไป นอนเอนหลังลง

แต่เราเหม็นควันบุหรี่มาก นอนไม่หลับ แต่ก็พยายามข่มตา
ซักครู่ใหญ่เหมือนมีอะไรมากระแทกเรืออย่างแรง
คนที่นอนอยู่ด้านข้างต่างกลิ้งไหลมากองทับเราที่อยู่ตรงกลาง
และเป็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่องเกือบสิบนาที
เราถามว่าเกิดอะไรขึ้น
พี่คนหนึ่งตอบว่า เรือเจอคลื่นไอ้น้อง เรื่องปกติ
เราถึงนึกขึ้นได้ ว่า อ๋อที่แท้เพราะเหตุนี้นี่เองที่ตรงกลางมันว่างไว้
เราตัดสินใจไม่นอนดีกว่าเพราะนี่ก็เป็นกลางวันอยู่เลย ออกไปข้างนอกดีกว่า
ว่าแล้วเราก็คลานออกมาข้างนอก เดินไปด้วยกลิ้งไปด้วย
เพราะเวลาเรือเจอคลื่นที่ไรเราต้องหกล้มหัวคะมำค่ำหงายไม่เป็นท่า
มันยืนทรงตัวเองอยู่ไม่ได้เลย เราค่อยๆเดินเกาะตัวเรือ
ไปจนถึงด้านหน้าเรือที่มีพี่สองคนทำหน้าที่ขับเรืออยู่ เรายกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดีครับพี่
ขับเรือยากไหมครับ เราถามด้วยความอยากรู้
ก็ไม่ยากไม่ง่าย ลองไหมล่ะ พี่คนหนึ่งถามกลับ
ด้วยนิสัยอยากรู้อยากลองของเราก็ไม่พลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว
เราพูดขอบคุณครับพร้อมเดินเข้าไปยืนประจำตำแหน่งพลขับเรือ
พี่คนที่ขับจับพวงมาลัยตรึงไว้แล้วส่งต่อให้เรา


เรารีบจับพวงมาลัยมันหนักมากโดยเฉพาะยามเจอคลื่น
ผมต้องทำไงบ้างครับ เราร้องถาม
พี่สองคนบอก ก็แค่ประคองมันไว้ตามทิศทางที่ไต๋สั่งลงมา
ซักครู่พี่อีกคนบอกเลี้ยวซ้าย
เราดึงพวงมาลัยมาทางซ้าย
แต่พี่คนดังกล่าวบอก ไม่ใช่ไอ้น้องเลี้ยวซ้าย พี่เขาย้ำ
เราตอบ  ไปว่า ผมก็กำลังดึงมาทางซ้ายอยู่ครับ แต่เรือมันดูเหมือนจะออกขวา
พี่คนนั้นหัวเราะ เออกูผิดเองไม่ได้บอกแก เรือจะเลี้ยวซ้ายต้องดึงมาทางขวา จะเลี้ยวขวาก็ดึงมาทางซ้ายตรงข้ามกันว่ะ ลืมบอกไป พี่คนขับเรือพูดบอกกับเรา

อ๋อผมเข้าใจแล้ว จากนั้นเราก็ประคองพวงมาลัยซ้ายที่ขวาทีมันไปเหมือนงูเลื้อย
จนไต๋ก๋งลงมาดู มันเกิดอะไรขึ้นกับเรือวะ เสียงไต๋ตระโกนลงมา
ขณะที่เราก็กำลังยืนบังคับเรืออยู่

ไต๋พูดขึ้นว่า เฮ้ยเองมันเด็กใหม่นี่หว่า ทำไมไม่นอนวะ เดี๋ยวก็อ๊วกหรอกมึงคอยดู
จะขับเรือมันต้องเก็งข้อมือให้แข็งและอย่าให้แขนเข้าไปล่องไม้พวงมาลัยเชียวมึง เจอคลื่นมา
พวงมาลัยตีแขนแกหักแน่ ระวังหน่อย แล้วไต๋ก็กลับขึ้นด้านบนเก๋งเหมือนเดิม

เราคืนเรือให้พี่คนขับประจำเขาทำหน้าที่ต่อ 
ขอบคุณที่ให้โอกาสครับพี่ เราพูดจบก็เดินเกาะเรือไปต่อที่ห้องครัว
เข้าไปนั่งคุยกับชมพู่
มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับผมนอนไม่หลับ
ชมพู่มองหน้า เออดี เข้ามาไอ้น้องเข้ามา
แล้วพี่หวิลก็บอกเราน้องช่วยนำผักไปล้างแล้วเอามาหั่นนะแล้วพี่จะทำอาหารให้กินกัน

เรามานั่งคุยอยู่กับชมพู่อย่างถูกคอพร้อมกับแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรมาจากไหน








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น