วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ30


เมื่อนัดหมายสถานีที่กันเสร็จสรรพ
ใกล้ได้เวลาตามนัดเราก็แต่งตัว
ตามสไตล์ที่ริญคุ้นเคยสายตา
คือเสื้อยืดกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตพับครึ่งแขนตามด้วยหมวกแก๊ป
อย่างเดิมที่วริญญาเธอคุ้นเคยตา เพียงแต่มันเป็นคนละชุดกันแล้วเท่านั้น
และเราก็ได้เตรียมของขวัญพิเศษติดมือไปด้วยหวังให้เธอแปลกใจ
เราไปถึงที่หมายเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น
ภายในสวนลุมมีคนเข้ามาวิ่งออกกำลังกายเป็นจำนวนพอสมควร
บางกลุ่มก็จับกลุ่มรำมวยไทเก๊กกันอยู่เป็นกลุ่มๆ
ใต้เงาร่มไม้ก็มีหนุ่มสาวหลายคู่แอบสานสัมพันธ์กัน
นั่งยึดเงาไม้ที่เหมาะๆกันเป็นคู่ๆอย่างน่าอิจฉา

แต่ไม่นานคู่รักของเราก็คงมา
ขณะที่เรายืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าสวนลุมฝั่งพระบรมนุสาวรีย์รัชกาลที่6 ตามนัด
ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดนักศึกษา เดินมองซ้ายมองขวาเหมือนมองหาใครอยู่
เราจึงมุ่งตรงเข้าไปหาเธอ จ้องมองด้วยความสนใจ
จนเราเชื่อในสายตาของตัวเองอย่างมั่นใจ
จึงเรียกเธออกไป
วริญญา
เธอหันมาตามเสียง
หยุดมองหน้าเราอยู่ครู่หนึ่งจึงวิ่งเข้ามาหาพร้อมเสียงเรียก
ทิวๆๆ
เราสองดีใจอย่างสุดขีด
เราไม่เขินอายสายตาของผู้คนแม้เป็นที่สาธารณะ
เราโผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่นให้สมกับที่จากกันมาเป็นเวลาแสนนาน
และให้สมรัก สมกับคิดถึง เรายืนกอดกันอยู่นานจนได้สติ 
เห็นคนมองมาทางเราอยู่หลายคู่สายตา
เราทั้งสองจึงคลายมือออกจากกัน และเดินจูงมือกันเกี่ยวก้อยร้อยแขนเดินเข้าไปในสวนลุม
หาที่นั่งและเพื่อให้เวลากับหัวใจของเราสองดวงได้อยู่ใกล้ชิดกันและพูดคุยกันอีกครั้ง

เราสองคนเดินไปนั่งใต้ต้นจามจุรีใกล้สระน้ำขนาดใหญ่ภายในสวนลุม
เรานั่งลงเบียดชิดร่างข้างกายกันโดยที่มือสองเราไม่ยอมปล่อยจากกัน
เสมือนหนึ่งว่าจะบอกความใน ว่าไม่อยากจากกันอีกต่อไปแล้ว

เราสองคนไม่ได้มาเริ่มต้นอะไรกันเลยเราไม่ได้เขินอายต่อกันแม้ไม่เจอกันมาหลายปี
แต่ก็ได้สนทนากันอยู่ตลอดผ่านทางโทรศัพท์และจดหมาย

ทิวดูซูบไปนะจ๊ะ ริญเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนาก่อน
คงเป็นเพราะทิวคิดถึงริญมากไป เราหยอดกลับ
ยังมีหน้ามาพูดอีก
คราวก่อนที่มาจากใต้ทำไมหลบหน้าไม่ยอมอยู่เจอ ริญก่อน
รู้ไหมว่าคืนนั้นริญร้องไห้ทั้งคืน เธอย้อนอดีต กลับไปเมื่อวันที่เรากลับจากใต้
และแวะมาหาเธอถึงหน้าบ้านแต่กลับไม่กล้าเจอหน้าเธอ

ทิวต้องขอโทษนะริญ
ตอนนั้นทิวตั้งตัวไม่ทันจริงๆ อีกทั้งยังรับสภาพตัวเองไม่ได้
ริญรู้ไหมวันนั้นสภาพของทิวเหมือนเงาะป่าก็ไม่ปรานทิวเลยไม่กล้าเจอริญ
เราพยายามอธิบายสิ่งที่เธอยังคาใจและกล่าวขอโทษเธอ

เรารักกันนะทิว รักมาตั้งแต่เด็ก รักกันมาตั้งนาน
ที่ขอนแก่นโน้น ที่บึงสีฐานโน้น เราไม่เคยห่างกันเลยทิวจำได้ไหม
ริญไม่ได้รักทิวที่หน้าตา
จริงอยู่วันแรกที่ริญเจอทิว
รูปร่างหน้าตาทิวมันสะดุดตาและดูมีเสน่ห์ทำให้ริญแอบปลื้มอยากรู้จัก
แต่พอริญได้ใกล้ชิดรู้จักทิวมากขึ้น ทิวกลับมีสิ่งที่มีเสน่ห์มากกว่านั้น
ทิวมีความเป็นผู้ใหญ่ ใจดี อบอุ่น จริงใจ มุ่งมั่น พูดตรง ไม่ก้าวร้าว
ซึ่งหลายสิ่งที่ทิวมี ริญไม่มี
ริญเป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีพี่น้อง
 วันๆหลังจากเลิกเรียนก็กลับมาบ้านขายของอ่านหนังสือ
ชีวิตของริญมีเท่านั้น
จนทิวมาเติมเต็มสิ่งที่ริญขาดไปจนริญรู้สึกว่าทิวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
แล้วริญจะรังเกียจทิวทำไมล่ะจ้ะ
 เธอพูดความในใจเหมือนอัดอั้นมาแสนนานให้เราฟัง
ทีหลังอย่าหนีหน้าริญอีกนะทิว เธอพูดย้ำด้วยท่าทางที่จริงจังพร้อมกับมองหน้าเรา

เราโน้มตัวเธอเข้ามากอดโอบไหล่เธอ
ทิวขอโทษริญอีกครั้ง
ทิวคิดมากไปเอง
ยกโทษให้ทิวนะริญ
เธอทิ้งตัวลงหนุนตักแทนคำตอบ
และจับมือเราขึ้นมาจับนิ้วมือไปทีละนิ้วๆ

ริญจ้ะตอนนี้ทิวเรียนจบปริญญาตรีแล้วและก็กำลังจะเรียนปริญญาโท
มีงานทำที่พอเลี้ยงตัวและครอบครัวได้แล้ว
ทิวพร้อมแล้วที่จะแต่งงานกับริญ
แต่งงานกับทิวนะริญ
เราจะกลับบ้านเราที่ขอนแก่น
ทิวจะไปเปิดโรงเรียนกวดวิชาที่นั่น
ให้ความรู้กับเด็กๆอีสานบ้านเรา

เธอดันตัวขึ้นมานั่งและโอบกอดเราเข้าไปอีก
พร้อมกับร้องไห้
ริญดีใจที่สุดทิว
ในที่สุดริญก็ได้ยินคำนี้จากปากของทิว
ในที่สุดทิวก็ทำได้
ในที่สุดเราสองคนก็มาถึงวันนี้
ริญจะแต่งงานกับทิวจ้ะริญพร้อมที่จะครองคู่กับทิวไปทุกภพชาติตามสัญญาเราไงจ้ะทิว
เธอพูดไปท่ามกลางน้ำตาที่ไหลคลอพร้อมกับร่างที่เบียดซบอยู่ไม่ยอมห่างจากกายเรา
ขณะที่เราเองก็ไม่ยอมที่จะปล่อยมือจากเธอเช่นกัน
เธอเงียบไปซักครู่ ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้นมา

แต่ทิวรออีกหน่อยได้ไหมจ้ะ ริญพูดด้วยความลังเล
ทำไมจ้ะริญ เราถามเธอด้วยความสงสัย
ริญยังเรียนไม่จบเลย ยังเหลืออีกปีหนึ่งเธอตอบ

นี่ห้าปีแล้วนี่จ้ะริญ ริญจบปีนี้ไม่ใช่หรือจ้ะ
ยังจ้าทิว ทีแรกริญก็คิดว่า ห้าปี
แต่ความจริง นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนหกปีจ้า

ปีที่ 1-3 เป็นการเรียน ปรีคลีนิค
ส่วนปีที่ 4-6 เป็นการเรียนคลีนิค

ในปีที่ 1 จะเป็นการเรียนปรับพื้นฐานตั้งแต่ ม.ปลาย
เป็นการทบทวนกระบวนวิชาต่างๆที่เคยเรียนมาจาก ม.ปลาย
ทั้งฟิสิกส์ และประวัติความเป็นมาต่างๆของวิชาแพทย์

ปี 2 เรียนเน้นเกี่ยวกับร่างกายที่ปกติของคนเรา
    และจะได้ ผ่ากรอส เรียนกับอาจารย์ใหญ่ หรือผ่าศพจ้ะทิว
   
 ปี 3 เรียนเน้นไปที่ร่างกายที่ผิดปกติ
หลังจากที่เราเรียนร่างกายที่ปกติมาแล้วว่ามันเป็นยังไงในปี 2 
  
จากนั้นก็จะเข้าเรียนคลีนิคในปีที่ 4-6
ช่วงปีนี้เราก็เริ่มจะได้ใช้เครื่องมือแพทย์
เช่นหูฟัง และได้เริ่มเข้าตรวจคนไข้ จ้ะทิว

วริญญาเธอได้อธิบายโครงสร้างวิชาที่เรียน 
และศัพท์แสงทางการแพทย์ของเธออย่างคล่องแคล่วเป็นฉากๆอย่างแตกฉาน
แม้เราไม่มีความรู้เลยยังพอจะเข้าใจที่เธออธิบายมา

ตกลงจ้ะริญทิวจะรอจนถึงวันนั้น
แต่ริญต้องสัญญาว่าเราจะหาเวลามาพบเจอกันทุกเย็น
ให้เหมือนกับตอนที่เรายังอยู่ที่บึงสีฐาน ริญตกลงไหม

ตกลงจ้าทิว
เราจะใช้ที่นี่เป็นที่นัดพบกันเหมือนกับที่บึงสีฐาน
ริญคิดถึงจังเลยทิว
ไม่รู้ป่านนี้หญ้าจะขึ้นเต็มไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ 
ริญคิดถึงมอดินแดง
ริญอยากกลับบ้านจังเลยทิว
เราบีบมือเธอแน่นแล้วดึงเธอเข้ามาโอบไหล่

และเราก็ได้จับมือเธอขึ้นมา
หยิบแหวนพลอยสีชมพูอ่อนที่เราเตรียมมา
ริญจ้ะ เราเรียกเธอ
เธอมองหน้าแล้วก็ลุกนั่ง
ทิวไม่มีของล้ำค่ามาให้ริญนะจ้ะ
ทิวมีแหวนพลอยวงเล็กๆที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร
แต่มันแทนความรักจากทิวทั้งหัวใจ จะมอบให้ริญ
ริญยิ้มก่อนที่จะส่งมือให้เราสวมแหวนพลอยใส่นิ้วนางข้างซ้ายให้เธอ
ขอบใจนะทิว
ริญจะรักษารักเราไว้ด้วยชีวิต นี่คือคำมั่นและเป็นสิ่งที่ริญจะให้ทิวจ้ะ
เมื่อสมควรแก่เวลาเราก็เดินกลับมาส่งริญที่หน้าบ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกัน

                                                   




-


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น