วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ไดอารี่สีดำ4


เมื่อกลับถึงร้าน
 เราก็รู้สึกว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นกับความรู้สึกของตนเองอย่างชัดเจน

ดูสิหัวใจของหนุ่มวัยรุ่นอย่างเรา มันเต้นตุ๊บๆๆผิดจังหวะ
เหมือนมันกำลังจะดีดออกมานอกอกเสียให้ได้
มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่เคยได้รับหรือเคยมี

มันเป็นครั้งแรกที่เราได้ดื่มน้ำจากมือของหญิงสาว ที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน
แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกประหลาดใจ ที่คนเพิ่งเคยเห็นหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียว
กลับรู้สึกว่าเหมือนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมานาน แสนนาน

น้ำเสียงใส ใบหน้าสวย
มันยังติดหูติดตาเราอยู่
ดูเหมือนว่าไม่มีทางจะลบเลือนออกไปได้เสียแล้ว

เธอเป็นใครกัน ริญ
เธอกำลังคิดอะไร
เธอกำลังจะพาหัวใจของฉันไปไหน
เวลานี้ ฉันรู้สึกว่า
หัวใจของฉันหลุดลอย ไปอยู่กับเธอเสียแล้ว วริญญา


จากคืนจากวันทุกอย่างมันเริ่มผันแปรเปลี่ยนไป
ความใกล้ชิดสนิทสนมเริ่มมีมากขึ้น
เสียงโทรศัพท์ มักจะดังบ่อยขึ้นในเวลาเลิกงาน


มีการนัดพบ นัดเจอ พบปะพูดจากันสองต่อสอง
เปิดโอกาสให้หัวใจของเราสองคนได้พูดคุยกัน
โดยนับวันสายสัมพันธ์ของเรายิ่งแนบแน่น

ชีวิตของวัยรุ่น
เมื่อความรักวิ่งเข้าหา ถาโถมใส่อย่างไม่รู้ตัว
ก็ทำให้เราลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
ลืมว่าเธอเป็นใคร
และเราเป็นใคร



คุณพ่อของวริญญา เป็นอาจารย์ สอนอยู่ใน มข.
ส่วนคุณแม่ของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน อยู่ใน มข.เช่นกัน
ช่วงเย็นหลังจากเลิกงาน ก็จะเปิดบ้านพัก ขายของชำให้ผู้คนใน มข.นั่นเอง

เวลาที่วริญญาเธอเลิกเรียนเธอจะกลับบ้านก่อน
แล้วก็เปิดร้านขายของตามปกติเป็นประจำทุกวัน
ในช่วงเวลาเย็นๆ และวันหยุดเธอก็จะเฝ้าบ้าน หรือร้านของครอบครัวเธอ เป็นตัวหลัก
เราจึงได้พบเห็นเพียงแค่เธอ ไม่มีโอกาสได้เจอหน้าพ่อแม่เธอ จังๆซักครา


วันนี้ริญบอกว่าเธอกำลังเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์
โดยครอบครัวเธอจะให้สอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์
ริญบอกว่าจุฬาลงกรณ์อยู่ที่กรุงเทพโน่น
ถ้าสอบได้คุณพ่อของเธอจะส่งเธอเข้าไปอยู่กับคุณย่าและคุณปู่เธอที่กรุงเทพ

เธอบอกว่าบ้านคุณปู่คุณย่าเธออยูแถวซอยหลังสวนใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยนั่นเอง
เราได้ฟังเธอพูด 
หัวใจของเราก็เริ่มฉุกคิดขึ้นได้
นี่ความพลัดพรากกำลังจะเกิดขึ้นกับเราแล้วหรือนี่

เรานิ่งและหยุดคิดไปเรื่อย จนริญ เธอมาจับที่มือเบาๆ พร้อมกับพูดว่า
ริญไม่อยากจากทิวไปเลย
ไปเถอะริญ นั่นมันคืออนาคตของริญ
ริญมีโอกาส ริญอย่าทิ้งโอกาสนี้เลย เราพูดกับเธอ

ทิวเองก็อยากเรียน แต่เราไม่มีโอกาส ทั้งที่ทิวเรียนเก่ง แต่ครอบครัวเราก็มีพี่น้องหลายคน
เราเรียนได้แค่ ม.3 ก็ออกบ้านมาหางานทำเพื่อแบ่งเบาภาระทางครอบครัว
แต่เราได้สัญญากับใจตัวเองว่าวันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสเราจะเข้าเรียน
ตามเก็บโอกาสที่มันหล่นหายไปนี้กลับมาให้ได้

บรรยากาศการสนทนาของเรามันเริ่มไม่สนุก
เรากลับกันเถอะริญ ค่ำแล้ว
พรุ่งนี้เราค่อยนัดเจอกันใหม่ที่ริมบึงสีฐานหน้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่เดิม
เราเดินเกี่ยวมือคุยกันไปตลอดทางก่อนที่จะแยกย้ายกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น