วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ไดอารีสีดำ10


วันเวลา
มันชั่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน
ขณะนี้วริญญาได้สำเร็จการศึกษาระดับ ม.6 แล้ว
และเธอก็ได้สอบเอนทรานซ์เข้าที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ได้
สมดังใจของครอบครัวเธอ

ริญเปิดเผยเรื่องนี้กับเราหลายครั้งขณะที่เธอโทรไปหาที่ร้านและที่นัดพบกัน
ดูเธอจะกังวลใจเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน
เธอดูเงียบซึมจากการที่เคยเป็นคนร่าเริง
ชั่งพูดชั่งเจรจา
ในใจของเราเองก็คงไม่ต่างจากเธอ
หลายครั้งที่เราพยายามให้กำลังใจเธอ
แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เราทำเช่นนั้น
กำลังใจของตัวเราก็นับวันจะดูถดถอยตามไปด้วย

เราสองคนหาทางออกไม่เจอ
ว่าอนาคตรักเราจะเดินไปในทางทิศใดได้
อนาคตของริญ
เธอก้าวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยฐานะทางครอบครัว
ฐานะทางสังคมของครอบครัวเธอ
มันชั่งดูห่างจากเราหลายชั้นนัก
ห้าปีจากนี้ไป
วริญญาก็จะเปลี่ยนสถานะทางสังคมใหม่ไปเป็นคุณหมอ

ส่วนตัวเรา
ก็คงยังเป็นเด็กส่งของเฝ้าหน้าร้านมอซออยู่เช่นเดิม
เมื่อถึงวันนั้น
เราไม่เพียงไม่คู่ควรกับเธอ
แต่ไม่แม้เพียงจะเดินเคียงข้างเธอ
อีกไม่นาน
แม่หงส์ทองที่สูงสง่า
ก็คงจะบินกลับเข้าไปอยู่ในหมู่หงส์
ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์สังคมดั้งเดิมของเธอ
ส่วนตัวเรา
ก็คือกาดำอยู่วันยังค่ำ
คิดมาถึงตรงนี้
น้ำตาของลูกผู้ชาย
มันไหลรินอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่เรานั่งคิดอยู่
ก็มีโทรศัพท์หน้าร้านดังขึ้น
เรารีบปาดน้ำตาแล้วไปรับสาย

เธอใช่ไหมที่ชื่อทิว
เราตกใจ
เพราะคราวนี้ไม่ใช่เสียงของริญ
แต่เป็นเสียงผู้ชาย
ขณะที่เรากำลังอึ้งอยู่
เสียงชายคนนั้นก็พูดว่า
ฉันคือพ่อของวริญญา
ฉันมีธุระจะพูดคุยกับเธอโดยตรง
หลังจากเลิกงานแล้ว
ให้เธอมาพบฉันที่บ้านนะ
เธอรู้จักดีใช่ไหม
ตกลงตามนี้นะ
แล้วเขาก็วางสายไป

หัวใจของเรามันหล่นตุ๊บไปกองที่ตาตุ่ม
นี่กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่

เอาเถอะลูกผู้ชายเกิดหนเดียวตายหนเดียว
ไหนๆเราก็รักลูกสาวเขา
และลูกสาวเขาก็รักเรา
เธออยู่ที่นั่นทั้งคน
กลัวอะไร
เราคิดปลุกใจตัวเอง
แม้ความจริงในใจมันฝ่ออย่างบอกไม่ถูก
ที่จะได้เผชิญหน้ากับพ่อแม่เธอเป็นครั้งแรก

เมื่อปิดร้านเสร็จเราก็อาบน้ำแต่งตัว
หวีผมเผ้าซะดิบดี
วันนี้ไม่สวมหมวกแก๊ปคู่ใจ
แต่เป็นวันที่เราแต่งตัวตามกาลเทศะที่สุด

เมื่อเราเดินทางไปถึงบ้านริญ
ริญก็ออกมายืนคอยรับที่หน้าบ้าน
ริญส่งยิ้มให้แต่สีหน้าของเธอกลับไม่สดชื่น
ตามรอยยิ้มนั้น
เรารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่
พ่ออยากคุยกับทิว เรื่องของเรา
พ่อกับแม่รออยู่ในบ้าน
ทิวทำใจดีๆนะ ริญแอบกระซิบ

เมื่อเราก้าวขาเข้าไปในบ้าน
เราก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งนั่งรอที่เก้าอี้โซฟา
ดูท่าทางสง่าภูมิฐาน
บุคลิกดูอบอุ่นท่างทางมีเหตุผล

ทิวจ๊ะนี่พ่อกับแม่ของริญ ริญแนะนำเรากับพ่อแม่
เรายกมือไหว้สวัสดีอย่างนอบน้อม

ทิวเหรอ
นี่เหรอชายหนุ่มที่ชื่อทิว
ที่ลูกสาวของฉันหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เออ..มันก็น่าอยู่นะที่ลูกสาวฉันจะหลง
ท่าทางองอาจ กรำยำบุคลิกดี
นั่งสิ..นั่งๆๆ นั่งคุยกันก่อน คุณพ่อของริญออกปากเชิญ
เรากำลังจะนั่งลงตรงพื้น
พลันเสียงพ่อของริญก็ดังขึ้น
นั่งข้างบนซี
ฉันไม่ใช่คนถือยศถือสกุลอะไร
นั่งข้างบน นั่งข้างบน เอ้อ

ริญลูกออกไปรอข้างนอกก่อนนะ
พ่อกับแม่จะขอคุยธุระกับพ่อทิวก่อน พ่อของริญสั่งริญ

เมื่อริญเดินพ้นออกไปนอกห้อง
พ่อของริญก็เริ่มต้นเลย
ที่ฉันเรียกเธอมานี้เธอรู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร
ยังไม่ทราบครับ เราตอบ
เอ้าเหรอ..ไม่เป็นไรๆ
คือเธอก็รู้ใช่ไหมว่าริญเรียนจบแล้ว
ครับเราตอบ
และก็สอบเอนทรานซ์ได้ที่กรุงเทพโน่น
ครับเราตอบ

คือในวันพรุ่งนี้ฉันกับแม่เธอจะเดินทางพาริญเข้ากรุงเทพ
เพื่อไปเรียนต่อ และระหว่างเรียนก็จะให้อาศัยอยู่กับบ้านปู่ย่าของเธอที่กรุงเทพ 
ซึ่งก็คือบ้านเดิมของฉัน
ปัญหาที่ฉันเรียกเธอมาก็คือริญจะไม่ยอมไป
ถ้าไม่ได้พบเจอเธอก่อน แล้วก็อิดออดมาหลายวัน
ฉันเห็นว่ามันจะเสียส่งผลต่อการเรียนต่ออนาคตเธอ
จึงต้องเรียกเธอมา

จากนี้ไปอีก 5 ปี ลูกสาวของฉันก็จะเป็นแพทย์เป็นหมอ
ส่วนเธอล่ะทิว
อีก 5 ปีเธอจะเป็นอะไร
คือฉันรู้เรื่องเธอจากปากริญหมดแล้วนะ
ไม่ใช่ฉันรังเกียจเธอ
แต่มันเป็นความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
เธอเข้าใจใช่ไหมที่ฉันพูด
เธอคิดดูอีกห้าปีลูกสาวฉันจะเป็นแพทย์
แล้วจะให้มีแฟนและแต่งงานกับคนส่งของอย่างนั้นหรือ

หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะทิว
ถ้าเธอเป็นฉันเธอก็คงทำเช่นเดียวกัน
เธอตัดใจจากลูกสาวฉันเสียเถิดนะ
ปล่อยเธอไปตามเส้นทางของเธอที่มันควรจะเป็น
วันนึงข้างหน้าถ้าเธอสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้
วันนั้นเราค่อยมาคุยกันใหม่นะ

วันนี้ถือว่าฉันขอร้องเธอ
ให้พูดกับลูกสาวฉันยังไงก็ได้ให้เธอยอมไปเรียนแต่โดยดี
ฉันจะอนุญาตให้เธอไปส่งริญที่สถานีรถไฟพรุ่งนี้สามทุ่มครึ่ง
เธอตกลงไหม






                                            

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น