ขบวนรถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีขอนแก่น
หัวใจเราก็เริ่มหวั่นหวิว
เพราะนี่เป็นการเดินทางไกลที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา
ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้ามันเป็นอย่างไร
เราจะเผชิญกับอะไรบ้าง
หนุ่มวัยรุ่นที่มีอายุเพียง18ปี เดินทางไกลเพียงลำพังหัวเดียวกระเทียมลีบ
เข้ากรุงเทพ โดยไม่มีแม้ญาติมิตรหรือคนรู้จักอยู่ที่นั่น นอกจากริญ ยอดดวงใจของเรา
เรานั่งรถไฟ ครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดทาง
เมื่อรถไฟเข้าจอดตามสถานี ก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าหิ้วของ รุงรังวิ่งขึ้นรถไฟ
เพื่อมาขายของบนรถ ขึ้นสถานีนั้น ลงสถานีนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดรายทางทั้งคืน
จนถึงสถานีหัวลำโพง ซึ่งเป็นปลายทางสุดท้ายในเวลาเช้ามืด เราดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
เป็นเวลาตีสี่เศษ เพราะเราขึ้นรถออกจากสถานีรถไฟขอนแก่น ทุ่มครึ่งเท่านั้นเอง
ผู้คนมากมายหลั่งไหลลงจากรถ หอบหิ้วข้าวของ จูงลูกจูงหลาน
เดินกันขวักไขว่ไปมาจนลายตา
เราไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่ตรงไหน
พอก้าวเท้าพ้นจากชานชาลา เราก็หาที่นั่งพักตั้งหลักซักครู่ภายในบริเวณหัวลำโพง
รอให้สว่างกว่านี้ก่อนค่อยออกไป
ขณะที่เรานั่งคอยเวลาอยู่นั้น
ก็จะมีผู้คนเข้ามาถามจะไปไหน พร้อมจับแขนลากแขนเราจะให้ไปกับเขาให้ได้
เป็นพวกคนขับรถบริการอยู่แถวนี้นี่เอง
ภาพอย่างนี้เราก็เคยเห็นจนชินตาที่สถานีรถไฟและ บ.ข.ส. ขอนแก่น
แต่ไม่เคยเห็นที่ถึงขั้นลากจูงแย่งยื้อถือกระเป๋าอย่างนี้
นี่หรือสังคมเมืองหลวง
เมืองที่เขาลือกันว่าเต็มไปด้วยความเจริญ
เมืองที่เขาลือกันว่า เต็มไปด้วยโอกาสและโชคชะตา
ให้คนมาเสาะแสวงหา
แต่เราเห็นภาพเหล่านี้แล้ว มันชั่งผิดกับที่เราได้ยินมา
ผู้คนที่นี่มันเต็มไปด้วยการฉกฉวย แย่งชิง
ขาดความจริงใจ ขาดมิตรภาพ ขาดไมตรีจิต
มันชั่งแตกต่างจากบ้านเราเหลือเกิน
แต่เมื่อเราตัดสินใจแล้วที่จะมุ่งหน้ามาหามัน
ก็ต้องลองดูกันซักตั้งหละนะ เราคิดอยู่คนเดียวในใจ จนแจ้ง
เราจึงได้เดินออกมาจากหัวลำโพง
รถลา ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก มากกว่าบ้านเรานิดหน่อยเท่านั้นเอง
เรายังสังเกตุเห็นภาพของผู้คนยังนอนระเกะระกะ อยู่ข้างทางใกล้ๆหัวลำโพงอีกมากมาย
คนพวกนี้คงเป็นคนที่เข้ามาแสวงโชคเช่นเดียวกับเรา
เราเดินไปถามทางแม่ค้าที่ขายของละแวกนั้นว่าซอยหลังสวนไปทางไหน
แม่ค้าบอก ห่างจากนี้ก็ไม่ไกล อยู่ติดกับสวนลุม แม่ค้าบอก เรียกแท็กซี่ไปก็ได้ แม่ค้าบอก
เราก็กล่าวขอบคุณ
เราตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ ตกลงราคากัน คนขับแท็กซี่บอก ว่า 200 บาท
เราคิดอยู่ในใจว่าทำไมมันแพงจัง เมื่อครู่เห็นแม่ค้าบอกมันไม่ไกล
ก็เลยต่อรองราคากับแท็กซี่
แต่แท็กซี่บอก ที่นี่มันกรุงเทพไอ้น้อง จะไปแท็กซี่มันก็ต้องแพงหน่อย ไม่งั้นเองต้องไปรถเมล์โน้น
พร้อมกับชี้้ไปที่ป้ายรถเมล์ที่มีคนยืนรอมากมาย
เรากล่าวขอบคุณครับแล้วกำลังจะเดินไป
แท็กซี่คนดังกล่าว คว้ามือเราไว้
แล้วพูดบอกว่า 80 บาทไปไหม ไม่ต้องรอรถเมล์ให้นาน
เราตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป
ในใจเราก็คิดว่าเมื่อกี้เรานั่งรถไฟมาจากขอนแก่นทั้งคืน เสียค่ารถแค่ 79 บาทเอง
ตอนนี้นั่งแท็กซี่ เสียตั้ง 80 บาท แต่ก็เอาเถอะ
พอขึ้นรถ แท็กซี่ก็ชวนคุย เคยมากรุงเทพไหม
เราตอบไม่เคย เพิ่งมาครั้งแรก เราไม่รู้ว่าแท๊กซี่พาไปไหนบ้างเพราะเราไม่รู้จักมักคุ้นทางเลย
แต่นั่งแท็กซี่อยู่ตั้งนานก็ไม่ถึงซักที
เราถามแท็กซี่ว่าอีกไกลไหมครับ
แท็กซี่บอกถึงเมื่อไหร่จะบอก
เราก็นั่งเงียบต่อไปอีกตั้งนาน มองเห็นต้นไม้ คงจะเป็นสวนลุมตามที่แม่ค้าบอก
ดีใจคิดว่าคงถึงแล้ว
พอรถวิ่งใกล้เข้าไป ป้ายมันเขียนว่า สวนจตุจักร
เรารีบบอกแท็กซี่ นี่มันไม่ใช่สวนลุมนี่ครับพี่
แท็กซี่จอดข้างทาง ที่นี่สวนจตุจักร สวนลุมต้องอยู่โน้นถนนพระราม 4 โน้น
จ่ายตางค์มา 200 แล้วก็ลงไป
เราตกใจ
เอ้าแล้วงี้พี่ก็หลอกผมนะสิ ผมไม่จ่ายตางค์พี่หรอกตั้ง 200
แล้วพามานอกทางด้วยแบบนี้เป็นไงก็เป็นสิ
เราขึงขังเอาจริง ถึงแม้เราจะอายุน้อยกว่า
แต่ถ้าวัดตัวแล้วเราสูงประมาณ 175 เซนติเมตร ตัวโตกว่า
คนขับแท๊กซี่มากมาย
เองนี่มันเรื่องมากจริงๆว่ะ จ่ายมาแล้วก็ลงไป แท็กซี่ย้ำด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
เราก้าวขาลงจากรถ พร้อมบอกแท็กซี่ว่าผมจะไปแจ้งตำรวจแถวนี้ก่อน
แท็กซี่คว้าแขนเราอีกครั้ง พร้อมกับพูดสำทับว่า อย่านะโว๊ย แกอยากมีเรื่องเหรอ
ผมไม่อยากมีเรื่อง ผมอยากไปซอยหลังสวน ถ้าพี่พาผมไปผมก็จ่ายเงิน มันก็จบ
แต่นี่พี่พาผมมาสวนจตุจักร พี่นั้นแหละอยากมีเรื่อง เราทำท่าขึงขัง
ก็ได้ก็ได้ๆๆ งั้นเองจ่ายมา 80 บาท เท่าเดิม แท็กซี่บอก
80ผมก็ไม่จ่าย ผมจะเสียเงินโดยไปไม่ถึงเป้าหมายไม่ได้
งั้น 50 จ่ายมา แท๊กซี่บอก
เราก็เลยตัดความรำคาญ ถือว่าซวยไปยอมจ่าย 50 บาทให้แท็กซี่ไป
แล้วก็เดินไปนั่งที่ริมรั้วสวนจตุจักร หาทางกลับไปสวนลุมต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น