วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สวัสดีปีใหม่


 คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ

สวัสดี ปีใหม่ ชัยวาระ
ให้อายุ วรรณะ สถิตย์ศรี
ให้ทุกผู้ ทุกนาม จงโชคดี
ผ่องอินทรีย์ โสภา สถาพร
ให้สุขะ พละ จงกล้าแกร่ง
ให้มีเรี่ยว มีแรง อย่าล้มหมอน
ให้พระเจ้า โปรดดล ประทานพร
ให้มีสุขสถาพร ทุกชาติไป
ให้พระศรี ตรัยรัตน์ พระองค์นั้น
ประทานสุข นิรันดร์ นั้นมาให้
ให้ได้พบ นิพพาน ตลอดไป
เกิดชาติใด พาพบ แต่สิ่งดี
ให้มีสุข อิ่มเอม เปรมใจยิ่ง
มีคนรัก แท้จริง เกษมศรี
ให้มีสุข ทุกทิวา ทุกราตรี
ทุกข์อย่ามี ภัยอย่า ชั่วนิรันดร์

กังวาล ทองเนตร












กังวาล ทองเนตร กราฟิกดีไซน์



สวนกระแส



คนเราจากสูงสุดก็ลงมาต่ำสุดได้ และจากต่ำสุดก็ขึ้นยังจุดสูงสุดได้เช่นเดียวกัน
ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
ทุกวินาที ทุกลมหายใจของคนเรา มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ทั้งจากร่างกายภายในของเราเอง ทั้งจากความคิด ทั้งจากสถานภาพของเรา
มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ชีวิตของเรา โดยตัวมันเองก็ทำลายตัวมันเองอยู่แล้ว
ทำไมเราต้องไปทำลายตนเองซ้ำเติมเข้าไปอีก
เราต้องเรียนรู้ชีวิต และใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีที่สุด
ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์และอำนาจทางต่ำ
ที่จ้องจะมาฉุดดึงตัวเราให้ไหลลงสู่ที่ต่ำตลอดเวลา

การใช้ชีวิตที่ไหลตามน้ำ เป็นการใช้ชีวิตที่แสนง่าย
เพราะไม่ต้องหักห้ามอะไรมากมายแค่ปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ไหลไปตามสถานการณ์เท่านั้น การใช้ชีวิตแบบนี้ง่าย
 แต่ไม่เป็นคุณต่อตัวเราเองในระยะยาว

ลองทวนกระแสดูบ้าง
แน่นอนมันยาก แต่เมื่อเราผ่านมันไปได้แล้ว เราหันมองย้อนกลับไป 
เราจะได้ความภาคภูมิใจ ที่ได้เกิดมาเป็นคนกับเขาในชาตินี้แล้ว
ไม่เสียแรงที่พ่อแม่ ฟูมฟักเลี้ยงดูมา











วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นาฬิกาชีวิต

คลิกที่ภาพเพื่อดูต้นฉบับ


ชีวิตคนเรานั้นมันสั้นนัก

นาฬิกาชีวิตของคนเรานั้นมันไม่ได้ถูกสร้างมาให้มีความเป็น อมตะ

คนเราแต่ละคนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีอายุอยู่ได้ซักกี่ปี

ดังนั้นเราจึงไม่ควรเสียเวลา เสียใจ จมปรักอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

จนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้

เพราะนั่นคือการเสียโอกาสของชีวิต ที่จะได้เรียนรู้และเปิดรับเอาสิ่งใหม่ๆ

ที่กำลังจะก้าวเข้ามา

หลายครั้งที่เราเจ็บ

ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เราไม่ยอมให้โอกาสตนเองนั่นเอง

เราไม่เรียนรู้จากอดีต แต่เรากลับใช้อดีตเป็นสิ่งยึดติด

จนเราสูญเสียวิถีชีวิต ตามที่มันควรจะเป็นหลายๆอย่าง




เรายอมให้อดีตมันมากดทับทำลายชีวิตปัจจุบันของเรามากจนเกินไป

จนไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ๆให้เข้ามาในชีวิตเราเลย
บางครั้งเราเคยคิดถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า

เราทำไปเพื่ออะไร

เพื่อใคร

จะมีใครซักกี่คนที่เข้าใจในสิ่งที่เรานั้น

อดีตที่ถาโถม บางคเกิดมาจาก สมองเราไม่เคยคิดที่จะลืมมันนั่นเอง

เรายังพยายามปลุกความคิด ความรู้สึกที่เจ็บปวดนั้น

ให้มันตื่นขึ้นมาอยู่กับเราเสมอ

ทำไมเราไม่ลืมมันไปเสียล่ะ

ให้มันลบเลือนหายไปตามกาลเวลา

แล้วนำพาชีวิตเราให้เข้มแข็งและอยุ่ต่อไปให้จงได้


















คิดถึง ก็มาหา รู้ไหมว่า พี่ยังคอย
ความหวัง แม้เหลือน้อย ยังเฝ้าคอย ให้เป็นไป
รักมาก ก็ทุกข์มาก ไม่อยากจาก กันไปไกล
แม้เหลือ เพียงเส้นใย ก็จะไม่ ละความเพียร
ซักวัน เธอคงรู้ เมื่อมีผู้ ให้บทเรียน
กงกรรม และกงเกวียน มันไม่เปลี่ยน แวะเวียนมา
วันหนึ่ง เธอร้องไห้ โศกอาลัย กินน้ำตา
วันนั้น แม่ขวัญตา จงกลับมา พี่ยังคอย



































วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สิ้นแรงรัก



หัวใจของคนมันหมุนวนเหมือนสายน้ำ
ไม่แน่ไม่นอนแปรปรวนรวนเร เฉไปก็เฉมา
นี่แหละคน
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ตราบใดที่ยังเคลื่อนไหวได้
ก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
.......บางคน.....
ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง เงินทอง
ทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อทำให้ได้มันมาไม่ว่าวิธีการใด
บางคนก็ต้องการเพียงชีวิตที่สงบเงียบเรียบง่าย
บางคนก็ต้องการอิสระเสรีภาพที่จะออกโบยบินไปทั่วทิศ
ตามที่แรงหัวใจปรารถนา

ชีวิตฉันก็เช่นกัน
ฉันไม่ต้องการแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียง
ฉันต้องการเพียงเสรีภาพ ที่จะทำทุกสิ่งตามที่เสียงหัวใจเรียกร้อง
ฉันต้องการมีชีวิตเหมือนนกป่า 
แม้จะอดบ้าง อิ่มบ้างบางวันบางเวลา
ฉันก็ยินดีที่จะมีชีวิตเช่นนั้น ขอเพียงให้ฉัน มีอิสระ มีเสรีภาพ
ท่องไปในโลกกว้าง ไม่มีขีดเส้นพรมแดนขวางกั้น
ฉันต้องการโบกบินไปตามสายลมเย็น ที่โชยพัด
ฉันอยากบินไปให้สุดหล้าฟ้าเขียว
ฉันต้องการท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง
ฉันต้องการเห็น และเรียนรู้ทุกวัฒนธรรม
ที่ฉันผ่านไปพบเจอ

โดยไม่ต้องมีใครมาบอกฉันว่า อย่างนั้นไม่ได้ อย่างนี้ไม่ดี
เพราะฉันมั่นใจว่า ฉันมีจิตสำนึกที่ดีพออยู่แล้ว

เส้นชีวิตที่ผ่านมา ฉันพบว่า
ชีวิตฉันมีอิสระที่จะโบยบินมาตั้งแต่ต้น และฉันก็เคยได้รับได้สัมผัสชีวิตนั้นแล้ว
แต่...วันเวลานึง ชีวิตฉัน ถูกเขาจับมากักขังล่ามตัวเอาไว้
จนฉันสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิมของฉันไป
หลายปีที่ผ่านมา ฉันเฝ้า แต่โหยหา อิสระภาพ เสรีภาพที่ฉันเคยได้เคยมี
ทุกวัน ฉันเฝ้าแต่หันมองย้อนไป ที่ที่ฉันเคยอยู่ เคยใช้ชีวิตผ่านมา
ฉันเฝ้ามอง วันแล้ววันเล่า จนตะวันลับตาไป
เมื่อสิ้นแสงสุรีย์ ก็ใช่ว่าใจฉันนี้จะหยุดพร่ำเพ้อหา
รอยอดีต มีกรีดย้ำ แผลใจอยู่ตลอดเวลา
หลายปีที่ผ่านมา ฉันทุกข์ ฉันทรมาน กับวิถีชีวิต ที่มีคนอื่นเป็นผู้กำหนด
จนร่างกายฉันเสื่อมทรุดโทรมตามวัน เวลาที่มันผ่านไป
หัวใจที่เคยเข้มแข็ง บัดนี้มันอ่อนล้า โรยแรง
จินตนาการที่เคยบรรเจิดจ้าท้าฝัน บัดนี้มันเป็นเพียงจินตนาการที่มืดมน
เหลือเพียงเงาที่เลือนลาง นับวันที่เส้นทางชีวิตฉัน จะเดินเข้าสู่
ความสิ้นหวัง สิ้นหวังในอิสระภาพ สิ้นหวังทางความคิด
สิ้นหวังในชะตาชีวิต หรือว่านี่ คือลิขิตชีวิตฉันที่เขาคอยกำหนด








วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ใจบางๆกับทางที่ยาวไกล


ในเวลาที่เราต้องการใครซักคน
มาอยู่เคียงข้างมาร่วมทางเดิน
จับมือประคองร่วมเดินไปด้วยกันบนเส้นทางชีวิต
จะมีใครสักกี่คนที่อยากร่วมทางเดินไปกับเรา

ในยามที่เราลำบาก สิ้นหวัง ท้อแท้
กำลังใจจากใครซักคนคือสิ่งที่เราต้องการ
แต่ก็หามีไม่
หรือเราออกปากเชิญชวนให้ร่วมทางไปกับเรา
ก็จะอิดออด ตั้งแง่ ถ้าเขามองเห็นว่าทางที่เราจะเดินไปนั้นคงตกระกำลำบาก
มันเป็นธรรมชาติของคน ที่ต้องคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง
คัดสรรความมั่นคงชีวิตให้กับตนเอง

เมื่อเรายื่นมือที่ไร้ความหวังออกไป
ก็เป็นธรรมดา ที่เราจะต้องชักมือกลับคืนมาดดยมีแต่อากาศธาตุ
อย่าโทษเขาเลย เพราะนั่นคือพื้นฐานการตัดสินใจแรกที่มนุษย์ต้องทำ

แต่เมื่อใดที่ฉันแข็งขืนใจตนเอง
ยืนท้าฟ้าท้าดินอย่างมุ่งมั่น ทรนง 
เดินฝ่าฟันที่ยากลำบากนั้นเพียงคนเดียวลำพัง
จนถึงเส้นชัยในที่สุด

ถึงเวลานั้นมันก็เป็นสิทธิของฉันเช่นกันที่จะเลือกว่าจะอยู่กับใคร
เพราะในยามที่ฉันลำบาก ฉันต้องการใครซักคน ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
พอฉันเดินฝ่าฟันมาจนประสบความสำเร็จแล้วในที่สุด ฉันก็มีสิทธิเป็นผู้ที่จะเลือก
และมีสิทธิที่จะฉลองความสำเร็จนั้นโดยไม่มีเธอเช่นกัน

การที่มีใครซักคนมาร่วมทางเดินกับเรา
ทั้งที่ไม่เห็นอนาคตข้างหน้า
แต่กลับมีความจริงใจที่จะเดินไปกับเรา
ยินดีที่จะอยู่กับเราทุกสถานการณ์
คนคนนั้นคือคนที่สมควรจะเก็บเอาไว้ในที่ที่ดีสุดของหัวใจ
และคือคนที่เราฝากชีวิตไว้ได้

เส้นทางที่ลำบาก มีอุปสรรค
คือเครื่องมือที่คัดสรรคนเพื่อมาอยู่กับเรา
คนส่วนใหญ่กลัวลำบากทั้งสิ้น ยอมพลีกาย ยอมขายตัว
เพื่อแลกเศษเงิน ก็เพื่อหนีความลำบาก

มันไม่ง่ายที่ใครซักคนเดินมาบอกเราว่า 
เก็บสัมภาระพร้อมเดินทางไปกับเราแล้วทุกเส้นทาง
หากมีคุณก้จงรักษาเธอคนนั้นเอาไว้ให้ดีที่สุด
เพราะเธอมีค่ายิ่งกว่าอัญมณีชิ้นใดๆในโลกนี้ที่ไม่สามารถหาค่าได้

แต่ถ้าไม่มีใคร ก็จงตั้งปณิธาน สานต่ออุดมการณ์ เดินมันต่อไปให้ถึงเป้าหมาย
เมื่อสู่เส้นชัย มีรางวัลมากมายรอเราอยู่ และอย่ามานั่งเสียใจกับชะตาชีวิต
ให้เสียเวลาอยู่เลย จงก้าวเดินต่อไปพื่ออนาคตของเราเอง



วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทางรักที่เลือกไม่ได้



ในช่วงชีวิตเราที่ผ่านมา
มีมากมายคนที่มารักชอบพอ หมายปอง
แต่ใจของเราก็ไม่เคยจะเหลียวมองใฝ่ปองรัก

เพราะหัวใจของเรามันยังปักใจรักมั่นอยู่เพียงคนคนเดียว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะช่วงเวลาใดไม่สามารถ
หักใจออกจากเธอได้เลย

คนที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่ดี
ทุกคนล้วนเป็นคนดีน่ารัก น่าใคร่
แต่เรื่องของหัวใจมันแปลก
ถ้าไม่รักมันก็คือไม่รัก
มันไม่มีเหตุผลมันอธิบายไม่ได้

หรืออีกอย่างอาจเป็นเพราะ
เรายึดติดอยู่กับอดีตมากมาย
จนไม่ยอมเปิดใจให้ใครเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา
หรือ คนที่มารักไม่สามารถ ทำให้เราลืมเลือนอดีตที่ดีนั้นลงได้
หรืออาจเพราะเรา กลัว ขยาด ไม่มั่นใจตนเอง หรือคนที่มาชอบพอก็ได้เช่นกัน

แต่เชื่อไหมล่ะ
วันดีคืนดี เจอผู้หญิงธรรมดาๆ หน้าตาบ้านๆพื้นๆ เดินผ่านเข้ามาในสายตา
หัวใจของเรามันกลับสั่งให้สายตาหันไปมอง และจับจ้องเธอเอาไว้
ยังกับว่า เกรงว่าเธอจะเลือนหายไปจากสายตาและความทรงจำ

ตลอดระยะเวลาที่หัวใจด้านชา ไม่รู้สึกรู้สาอีกแล้วกับคำว่ารัก
กลับเฝ้าเรียกร้อง ห่วงใย อยากดูแล อยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ชิดเธอคนนั้นตลอดไป

หัวใจตรมๆ
หัวใจที่เคยหมองเศร้า
มันกลับฟื้นคืนชีวิตชีวา
มันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ ได้อยู่ใกล้ชิดเธอ ได้พูดคุยกับเธอ
มันเป็นความสุขที่เคยได้ เคยมี เหมือนเมื่อครั้งในอดีต
มันทำให้เรารู้ว่า เรายังมีชีวิต เรายังมีหัวใจอยู่

แต่ก็อีกนั่นแหละ
พอเราเริ่มรัก หลงรัก ทุ่มเทใจ มอบใจ
ยกเธอเข้ามาสู่ส่วนที่ดีที่สุดของหัวใจ
เธอกลับ เหมือนจะเดินหนีออกไปจากเรา
ยิ่งเราเอื้อมมือจะไขว่คว้าเพื่อโน้มดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมกอด
เธอกลับไม่มีตัวตน เธอพยายามเดินหนีออกจากความทรงจำของเรา
จนห่างไกลออกไปทุกที

ทำไมชีวิตรักมันตรอมตรมอย่างนี้
เมื่อไม่สนใจมันกลับพุ่งเข้าหา
แต่พอเวลาจะไขว่คว้า มันกลับเลือนลางหายไป
ช่วงชีวิตของคนคนนึง
มันไม่ยากหรอกที่จะมีใครมารัก
แต่มันยากนัก ที่เราจะรักใคร และใครคนนั้นก็รักเรา
และมันกลับยากยิ่งกว่าเมื่อเรารู้ว่าใช่
แต่พอเอื้อมมือยื่นออกไป เรากลับได้แต่สายลม
และความทรงจำที่เจ็บปวดและขื่นขม
เหลือไว้ให้เป็นรอยแผลในใจที่ติดตรึงคาไว้
ในหัวใจเราตราบนิรันดร
มันชั่งเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน




วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

อัลบัมคิงส์โพธิ์ดำ


ขอบคุณ ทุกน้ำใจ  ที่มีให้  เสมอมา
ขอบคุณ  ทุกเวลา  ที่ถามหา ว่าอยู่ไหน
ขอบคุณ  หมู่มวลมิตร  ที่ดูแล  อย่างชิดใกล้
ขอบคุณ  ด้วยน้ำใจ  ฝากคืนให้  ทุกผู้นาม


ขอบคุณที่แวะมานะครับ ยินดีต้อนรับทุกท่าน




อัลบัมชุด คิงส์โพธิ์ดำ หน้า 1

ประกอบด้วยเพลงดังนี้ครับ
1.นี่แหละอิสาน
2.น้ำตกนางลอย
3.เล็กจ๋า
4.นักเลงให้ไปชายแดน
5.น้ำตากันตรึม



คิงส์โพธิ์ดำหน้า 2

1.หนุ่มน้ำพอง
2.ฟังเครื่องไฟ
3.เข็ดแล้ว กทม.
4.ภาษาไทยวันละคำ
5.พบกันครึ่งทาง


วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเราจึงไม่รวย


เคยไหมที่บางครั้งเราเคยถามตัวเองว่า
เมื่อไหร่กูจะรวยซักทีโว๊ย

แต่ครั้นหันกลับมามองตัวเราเองอย่างถ้วนถี่แล้ว
เราจะพบว่า มันมีรายได้ที่ไหลเข้ามาหาเราเพียงทางเดียวหรือไม่กี่ทางเท่านั้น
เช่นเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็จะมีเพียงเงินเดือนอย่างเดียวที่ไหลเข้า
บางคนก็ตามค่าแรงขั้นต่ำ คือวันละ 300 บาท หรือ เดือนละ 9,000บาท
บางคนก็ 15,000บาท 20,000 บาท ประมาณนี้
แล้วเราลองตรองดูว่า เมื่อมีรายได้ไหลเข้าเท่านี้
ลองคิดเลขแบบไม่ต้องกินต้องใช้เลย เดือนละ 9 พันหนึ่งปี
เราจะมีเงินเก็บ 108,000 บาท นี่คือไม่ใช้เลยแม้สลึงเดียว
ถ้า 20,000 บาท หนึ่งปีไม่ใช้เลยซักสลึงจะมีเงินเก็บ 240,000บาท
แต่ความเป็นจริง เราต้องกินต้องใช้ มีค่าเช่าบ้าน หรือเช่าซื้อบ้าน
มีค่าใช้จ่ายประจำในครัวเรือน หรืออาจมีลูกกำลังกินกำลังเรียน
หรืออาจแบกรับภาระทางครอบครัว พ่อแม่พี่น้องอีก หรืออาจผ่อนส่งงวดรถอีก
ลองถามตัวเองซิว่า จะพอหรือไม่ เมื่อไม่พอ
เราจะเอาเงินที่ไหนมาเก็บสะสม ให้ยอดมันงอกเงยขึ้นมาได้จนเราร่ำเรารวย
มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เงินเดือนจะร่ำรวยขึ้นมาได้
เพียงเพราะรายได้จากเงินเดือนช่องทางเดียวที่ไหลเข้าครอบครัว
นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมเราจึงไม่รวย
และลองถามตัวเองอีกว่า อีกสิบปี 20 ปี เราจะรวยหรือไม่
เราก็ต้องตอบตัวเองว่าอีกสิบปี อีกยี่สิบปี เงินเดือนเราจะขึ้นเป็นแสนหรือไม่
ถ้าคำตอบคือไม่ คุณก็ได้คำตอบอยู่แล้ว ในเมื่ออีกสิบปียี่สิบปีค่าใช้จ่ายก็ยังมี
และอาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะจะรวมถึงค่ารักษาพยาบาลเข้าไปด้วยในยามเราชรา
คำถามและคำตอบ เราก็รู้อยู่แล้วด้วยตนเอง

ทีนี้เราจะคิดอย่างไรทำอย่างไร ให้รายได้มันไหลเข้ามากขึ้น หรือหลายทางมากขึ้น
ไม่คงที่ตายตัวเหมือนที่ผ่านมา เราก็ต้องหาวิธี ที่จะทำให้รายได้เราไม่ตายตัว
นั่นก็คืออาชีพอิสระที่สร้างงานสร้างเงินโดยตัวของเราเอง
ตามความขยันของเราเอง เช่นทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆที่ไม่ใช่ร้านขายของชำ
หรือร้านโชว์ห่วย มันต้องมีช่องทางจนได้ถ้าเราเดินมองหามันให้ดีดี

เราอาจถามตนเองว่า เราทำอะไรได้
บางคนตกงานมาแล้วมานั่งร้องไห้
บ่นว่าหางานไม่ได้เขาไม่ให้โอกาส
ทำไมเราไม่ถามตัวเองบ้างว่า แล้วทำไมเราต้องรอให้คนอื่นให้โอกาส
ทำไมเราไม่สร้างโอกาสให้ตนเองดูบ้าง

แน่นอนว่าสิ่งที่เราเคยทำเคยคิด
มันเป็นผลมาจากอิทธิพลความคิดทางสังคม
ว่าถ้าเรียนจบนั่นมาต้องทำงานอย่างนี้
ถ้าเรียนจบโน่นมาต้องทำงานอย่างนั้น
มันถูกปลูกฝังเรามาในสมองตั้งแต่เด็ก
จนเราคิดว่า เรียนจบมาเพื่อเดินเข้าออฟิศ เดินเข้าโรงงานอย่างเดียวเท่านั้น
เราถูกอิทธิพลนายทุนกล่อมเกลาว่า
ถ้าไม่เข้าออฟฟิศ ไม่เข้าโรงงาน ก็คือตกงาน
เป็นค่านิยมที่โสโครก เพราะเขาไปจำกัดความคำว่า ทำงานว่า
เช้าต้องออกจากบ้านไปทำงานที่ไหนซักแห่ง เย็นก็กลับบ้าน
สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน นั่นคือการทำงาน

ซึ่งความจริงมันไม่ใช่
การทำงาน ไม่จำเป็นต้องมีสถานะ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง หรือมีโต๊ะทำงาน
การทำงานหมายถึง การทำมาหาเลี้ยงชีพ ที่เป็นสัมมาชีพ
เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน
มีรายได้จุนเจือ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ นั่นต่างหากคือการทำงาน

หลายคนบอกว่าเคยเป็นคนขับรถ คนล้างจาน รปภ.พนักงานโรงงาน พนักงานออฟฟิศ
เป็นพนักงานขาย เป็นผู้จัดการ และอื่นๆมากมาย ซึ่งสรุปแล้ว
เราเคยทำงานทุกอย่างได้ ตั้งแต่ยามยันผู้จัดการ
แต่เราทำได้เพราะคนอื่นบอก คนอื่นอุปโลกน์ให้เราเป็น ให้เราทำ
ในเมื่อเราทำได้ เราเป็นได้ ทำไมเราไม่สั่งให้เราทำ สั่งให้เราเป็น 
แต่งตั้งให้ตัวเองเป็นผูจัดการฝ่ายขาย และหาสินค้า ผลิตสินค้ามาขาย
ขายให้เหมือนกับเราเดินขายให้เขา เช้ายันค่ำ เพื่อแลกคอมมิชชั่นไม่กี่บาท
ลองขายดู ทำให้เหมือนกันทำให้หนัก แต่ผลลัพธ์มันเราจะได้คนเดียวไม่ใช่นายจ้าง

นี่คือสิ่งที่คนเราไม่เคยให้โอกาสตนเอง
เป็นเพราะเราดูถูกตนเอง ไม่เห็นความสำคัญตนเอง
เรารอให้คนอื่นมายื่นโอกาสให้ และบอกว่าตอนนี้คุณเป็นพนักงานขายแล้วนะ
เป็นผู้จัดการแล้วนะ แล้วคุณก็เป็นไปตามบทบาทที่เขามอบให้เพื่อรับค่าตอบแทน ไม่กี่บาท
เมื่อเขาไม่จ้างเราก็มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งที่ คุณเป็นได้ทุกอย่าง แต่คุณไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่เคยให้โอกาสตนเองบ้างเลย ถ้าคุณทำให้คนอื่นรวยได้
คุณก็ทำให้ตนเองรวยได้เช่นกัน ลองดูนะ สหายทั้งหลาย






วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โอกาสที่ดีไม่มีทุกวัน






หัวใจพี่ มีเจ้า เพียงเท่านี้

ขอคนดี อย่าผลัก พี่ไปไหน

แม้ไม่รัก ไม่เคย คิดน้อยใจ
แต่เสียใจ ที่เธอ ผลักไสชาย
ถ้าตราบใด หัวใจ พี่ยังรัก
พี่ก็จัก ไม่คิด หนีห่างหาย
ถ้าหัวใจ หมดสิ้น ความห่วงใย
พี่จะไป โดยไม่ หวนคืนมา
จะเก็บใจ ดวงนี้ ที่มีแผล
เก็บอดีต ที่พ่ายแพ้ จนไร้ค่า
เก็บความช้ำ ซ้ำเติม ในอุรา
แล้วหลบหน้า หลีกเร้น ไปให้ไกล
มันไม่เจ็บ เท่าใด เพียงไม่รัก
แต่เจ็บหนัก เมื่อเธอ ทำเมินใส่
แค่เห็นหน้า เหมือนเห็น ตัวอะไร
เจ็บมากมาย ท่าที ที่หมางเมิน
คงถึงวัน ต้องมา คิดทบทวน
ไม่อยากกวน ให้เธอ นั้นขวยเขิน
คิดถึงวัน เก่าเก่า เคยหยอกเอิน
เจ็บเหลือเกิน เมื่อไร คิดขึ้นมา
คงต้องลา ไปแล้ว แก้วตาพี่
ขอคนดี จงมี สุขเถิดหนา
อยู่กับทาง ชีวิต เธอเลือกมา
พี่ขอลา จากแล้ว แก้วดวงใจ



                                           .............................................................................................


บางครั้งการที่เรามีเวลา คิดทบทวนเรื่องราวอะไรบางอย่าง
มันก็ทำให้เราได้มองเห็นข้อผิดพลาด ของตนเองได้ 
บางครั้งมันอาจให้เราต้องปรับแนวคิดเสียบ้าง

การที่เราเป็นคนจริงจัง กับชีวิตมากไป 
มันกับทำให้เราเสียใจมากตามไปด้วย
บางครั้ง การที่เรา รักใครรักจริง มันก็ทำให้เรา
ไม่เหลือพื้นที่ของหัวใจ ไว้เผื่อให้ใครอีกเลย
สุดท้ายกลายเป็นว่าเรา แบกรับ ความเจ็บปวด ความขมขื่นนั้น 
โดยที่ คนที่เราหลงรัก เขาไม่แยแสแม้ความรู้สึกเราสักนิด
ว่าจะอย่างไร มันทำให้เรา มองตัวเองว่าไร้ค่า 
ถูกทอดทิ้ง คนนอกสายตา 
กลายเป็นทำให้ชีวิตเรา หดหู่ ห่อเหี่ยว หมดไฟในใจ


เคยมีคนบอกเราถึงเรื่องนี้ คือให้หัดปล่อยตัวตามลมเสียบ้าง
ใครเล่นก็เล่นด้วย ใครรักก็รักด้วย 
ใครเลิกก็เลิกด้วย เอออวยกันไป มาอย่างไร ไปอย่างนั้น 
อย่าไปสนใจเรื่องอื่น
แค่ไหลตามกระแส พอใจอยากนอนกับใคร ก็นอน
 มีใครอยากนอนกับเรา ก็นอน ไม่ต้องคิดอะไร
เพราะชีวิตมันไม่ได้ยืดยาวอะไร 
ช่วงเวลาแห่งความสุข มันมีไม่มาก พอเข้าสู่วัยชรา
ชีวิตเรา ก็จะจมอยู่กับโรคภัย ไข้เจ็บ โดยไม่มีโอกาส
 ได้เสพสุข แสวงสุข อย่างนั้นอีกเลย


เมื่อมาทบทวนคำพูดเขาแล้ว ก็เห็นจะเป็นเช่นนั้น


คือเราจริงจังมากไป 
บางคนไม่ต้องการความจริงจัง หรือจริงใจ
 แต่ต้องการแค่ ผ่านมาก็ผ่านไป
แต่หลายคนก็แอบรักเรา
 หรือรักเราอย่างเปิดเผย เฝ้ารอเราอยู่ทุกวี่วัน
เรากลับไม่สนใจหัวใจ และความรู้สึกเขา
เรากลับสนใจแต่หัวใจ และความรู้สึกของเราเอง
หลายสิบปีที่เราเฝ้าทำตาม เสียงหัวใจเรียกร้อง
ผลลัพธ์ กลายเป็นว่า เราเจ็บช้ำมาตลอดชีวิต


คงถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมอง และแนวคิดใหม่
หันไปมองคนที่รักเราดูบ้าง หยุดทำตามเสียงหัวใจตัวเองเสียบ้าง
อย่างน้อยการที่อยู่ในอ้อมกอดของคนที่รักเรา มันก็คงไม่เจ็บปวด
เท่าวิ่งตามเสียงหัวใจเรียกหา แต่เขากลับเดินหนีเราอยู่ตลอดเวลา


ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะหันกลับไปมองพวกเธอคนเหล่านั้น
 คนที่รักฉันมาตลอด
ทั้งที่พวกเธอไม่ได้อะไรจากฉันเลย 
แม้แต่ ความห่วงใย


ฉันจะกลับไปดูแลใจพวกเธอเหล่านั้น
และมองหาใครซักคนที่
ไปกับเราได้ แล้วฉันจะไปบอกเธอว่า ฉันพร้อมจะใช้ชีวิตกับเธอแล้ว
 เธอพร้อมจะรับดูแลชีวิตเน่าๆของฉันไหม


เพราะโอกาสที่ดี มันคงไม่ผ่านเข้ามาหาฉันทุกวัน
และมันคงไม่อยู่รอให้ฉันหยิบฉวยได้ตลอดเป็นแน่
ฉันจะต้องรีบหันกลับไป ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมืองโซเชี่ยลเมืองหน้ากาก


ในยุคปัจจุบันนี้ สังคมโซเชี่ยลออนไลน์
เป็นสังคมที่เสียงดังที่สุด
ถ้าจะพูดกันตามหลักสังคมมานุษยวิทยา
โซเชี่ยลออนไลน์ก็คือสังคมอีกสังคมหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้คนที่มีความหลากหลายที่สุด
ทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา เศรษฐกิจ 
เป็นสังคมที่คนจนเป็นเพื่อนกับคนรวยได้

เป็นสังคมที่คนไม่มีชื่อเสียงสามารถพูดคุยกับคนมีชื่อเสียงได้
นอกจากนี้ เมืองโซเชี่ยล เช่นเมืองเฟชบุ๊ค เมืองจีบวก เมืองทวีตเตอร์
เมืองไฮไฟว์ เมืองทัมเบิล เป็นต้น เป็นเมือง หรือประเทศ ที่เปิดโอกาส
ให้คนแสดงความดิบ เถื่อน ของตนเองออกมาได้มากที่สุด
เป็นเมืองที่เปิดโอกาสให้คน ดัดจริตตัวเองมากที่สุด
เป็นเมืองที่เปิดโอกาสให้คนได้ แสดงความโง่ แสดงความฉลาดของตนเองได้มากที่สุด
โดยไม่มีเงื่อนไข หรือ ตรรกะทางสังคมอะไร
เมืองโซเชี่ยล
จึงเป็นเมืองใหม่ที่ผู้คน
จูงมือกัน เกี่ยวก้อยกัน
ชวนกันเดินเข้ามา อยู่อาศัย 
และยอมมอบตัวเองให้เป็นสมาชิกใหม่ของสังคมนี้
มากขึ้นทุกๆวัน
เพราะไม่ว่าคุณอยากเป็นหญิง อยากเป็นชาย
อยากเป็นคนใจดี เป็นนักบุญ
คุณก็สามารถมาปลุกปั้นตัวเอง ให้เกิดขึ้นใหม่ได้เสมอ
ในเมืองโซเชี่ยลแห่งนี้

มีมากมายหลายเหตุผล
ที่ผู้คนเดินเข้ามาเป็นสมาชิกในสังคมโซเชี่ยลแห่งนี้
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ อยากได้รับการยอมรับจากสังคมจอมปลอมนี้ เพื่อจะได้นำ
ชื่อเสียงจากสังคมจอมปลอมที่สร้างขึ้นมานี้ไปอัพเกรด อัพราคาให้กับตนเองในสังคมโลกความเป็นจริง ที่ตัวตนที่แท้จริง เต็มไปด้วย ปมด้อยคาใจ ปัญหาชีวิต
ที่แก้ไม่ตก ชื่อเสียงในโลกโซเชี่ยลออนไลน์นี้ มันสามารถ นำไปกลบทับปมด้อยลงได้
ในระดับหนึ่ง

แต่สมาชิกสังคมโซเชี่ยลหลายคนที่แยกตัวเองไม่ออก
แยกบทบาทในสังคมที่แท้จริง กับสังคมจอมปลอมไม่ได้
ก็สูญเสียความสามารถในสังคมจริงได้เช่นกัน
อาทิ บางคนในโลกความจริง มีบทบาทเป็นแม่ เป็นพ่อใครซักคน
ในขณะเดียวกันก็มีบทบาทเป็นลูกของใครซักคน
และหลายคนก็มีบทบาทเป็นลูกน้อง หรือเป็นเจ้านายในองค์กรด้วย
แต่บทบาทในโซเชี่ยลออนไลน์ กลับพลิกเป็นอีกอย่างที่สวนทางกัน
กับบทบาทที่แท้จริงในโลกความจริง
คนมีบทบาทเป็นพ่อเป็นแม่ ละเลยที่จะทำมาหากิน
ดูแลเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวโลกความจริงของตนเอง
ทำให้สูญเสียชีวิตครอบครัวไป

โลกจอมปลอม ในสังคมจอมปลอม
มันจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนที่มีบทบาท
ในสังคมจอมปลอมนี้สร้างมันขึ้นมา เช่น
เขาต้องการให้คนเกลียดคนนั้น รักคนนี้
เขาก็สร้างกระแส รัก กระแสเกลียดขึ้นมา ในเมืองเฟชบุ๊ค เมืองจีบวก
แล้วสมาชิกที่เหลือก็จะตกอยู่ในภาวะอุปาทานหมู่ รักด้วย เกลียดด้วย
ซึ่งพื้นฐานการรวมกันแบบสังคมหลวมๆ ที่สมาชิกสังคมจอมปลอม
ไม่รู้จักกันในสังคมที่เป็นจริง

การรวมตัวในสังคมจอมปลอมจะอยู่ได้ต่อไปก็คือ
การยอมรับ จำนวนไลค์ การติดตาม การไม่ถูกดีดออกจากสังคมนี้
นี่จึงเป็นปัจจัยในการอาศัยอยู่รวมกันของสังคมหน้ากากนี้

เครื่องมือหนึ่งในการอัพยอดไลค์ อัพยอดผู้ติดตามที่ได้ผลอย่างยิ่งก็คือ
รูปร่าง หน้าตา เนื้อหนังมังสา ที่แข่งขันกันโชว์ เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาครอง
หรือแม้แต่ บอท หรือหุ่นยนต์ โปรแกรมคลิกไลค์ ก็ถูกนำมาใช้ในการอัพยอดไลค์ ยอดผู้ติดตามนี้ ซึ่งมีทั้งเสียเงินซื้อมา และฟรี แต่ก็ต้องแลกด้วยกับ ข้อมูลความเป็นส่วนตัว หรือแม้แต่การเปิดประตูบ้านตัวเอง ยอมให้ พวกแอดแวร์ สปายแวร์ หรือแม้แต่ไวรัส
ได้เดินเข้าไปบ้านตัวเองหรือ ซีพียูของตนเองอย่างตั้งใจเต็มใจไปด้วย

ดังนั้นเมืองโซเชี่ยล มันก็ไม่ได้มาโดยเปล่าๆเช่นกัน หลายครั้งมันก็แลกมาด้วยเงินทอง
ความรู้สึก รวมถึงทรัพย์สินของตนเองด้วย เพื่อแลกกับความยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียง
แบบจอมปลอม ในสังคมจอมปลอม คนส่วนใหญ่ก็ยังยินดีที่จะเสียมัน
เพื่อให้ได้มากับชื่อเสียงลวงโลกและสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้ตนเองได้มีพื้นที่
โผล่หน้าออกมาให้คนเห็น และมีพื้นที่ยืนต่อไปในสังคมเมืองโซเชี่ยลออนไลน์