วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การแต่งงานคืออะไร



หลายคนมีคำถาม และมีคำตอบให้กับตัวเองว่า
การแต่งงานคืออะไร
บางคนตอบว่า คือความสำเร็จสูงสุดของชีวิตคู่
บางคนตอบว่าคือสิ่งยืนยันชีวิตรัก
บางคนก็ตอบว่า คือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่

การแต่งงาน
ถ้าตามความหมายของชาวบ้านทั่วไป
ก็จะหมายถึง การที่ชายหนุ่มหญิงสาว ตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน
และมีพิธีกรรม คือพิธีแต่งงาน จัดขึ้นให้ผู้คนได้รับรู้ 
นั่นคือการแต่งงานตามความหมายชาวบ้าน

แต่ความหมายตามกฎหมาย การแต่งงานหมายถึง
การที่ชายหญิงที่มีคุณสมบัติครบตามกฎหมาย
 ยินยอมพร้อมใจ จดทะเบียนสมรส
ถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่กินกันฉันสามีภรรยา

นี่คือความหมายตามกฎหมาย
คือกฎหมายไม่ได้ เรียกการจัดการแต่งงานว่า เป็นการแต่งงาน
แต่มองการนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น การแต่งงานที่แท้จริงตามกฎหมายคือ
การสร้างภาระผูกพัน ทางชีวิต และรับผิดชอบการกระทำนั้นร่วมกัน 
ไม่ว่าแง่ดีหรือไม่ดีที่จะเกิดขึ้นตามมา

และการแต่งงานนี้จะสิ้นสุดลงทันที เมื่อ ทั้งสองฝ่าย
จดทะเบียนหย่าร้างกัน

แต่ไม่ว่าความหมายของการแต่งงานจะเป็นเช่นไร
การแต่งงานนั้นก็มักจะถูกแบ่งออกได้สองลักษณะ
คือแบบนามธรรม หมายถึงความรู้สึก ความเชื่อ ความผูกพัน ความรัก
ซึ่งเป็นแรงผลักสำคัญ ที่ทำให้คนสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

และแบบรูปธรรม 
หมายถึง พิธีกรรม การประพฤติปฏิบัติ ต่อกัน
การแสดงออก ทางร่างกาย หรือเรียกว่าภาษากายเป็นต้น

บางคนมองว่า การแต่งงาน
คือการมอบการถวายชีวิต ให้กันและกัน
บางคนก็บอก การแต่งงานคือเธอจะทำอย่างไรกับฉันก็ได้
 เพราะฉันเป็นของเธอแล้ว

บางคนก็บอกการแต่งงานหมายถึงการอนุญาตให้ฝ่ายชาย
ล่วงเกินฝ่ายหญิงได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัด

การแต่งงานในทัศนะผม
คือการที่ชายหญิง
ที่ต่างที่มา ต่างการศึกษา
ต่างการอบรมเลี้ยงดู
ต่างฐานะ ต่างหน้าที่ การงาน
มีความรู้สึกดีดีให้กัน
และเชื่อใจกัน
ตกลงใช้ชีวิตคู่ อยู่ร่วมกัน สร้างฐานะครอบครัวร่วมกัน

มันไม่ได้หมายถึงการอนุญาตให้อีกฝ่ายละเมิดอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
มันไม่ได้หมายถึง การยอมมอบการถวายชีวิตให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน

แม้จะมีการแต่งงานแล้ว แม้จะมีการใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว
ก็ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นส่วนตัว 
หรือพื้นที่ส่วนตัว หรือสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละฝ่ายจะหมด 
หรือหายไปตามการแต่งงาน

ทุกฝ่ายยังคงมีสิทธินั้นสมบูรณ์ตามกฎหมาย
แต่สิทธินั้นจะมีความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ มากกว่ากรณีอื่นทั่วไป
การแต่งงานไม่ได้หมายถึง ใครเป็นของใคร
การแต่งงานไม่ได้หมายถึงใครต้องยอมใคร
แต่มันหมายถึงการที่ทั้งสองฝ่าย
ต้องปรับตัวเข้าหากันให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเอง

บางคนก็บอกว่า การแต่งงาน ก็คือ การได้มีภาระเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
คือได้คนมาช่วยกินเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวสามีหรือภรรยาเอง
หรืออาจพ่วงรวมไปถึงญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
ถ้านับตามนัยนี้ การแต่งงานยังหมายถึง การที่มีคนมาแย่งอากาศหายใจอีกด้วย
ยังหมายถึงมาสร้างอากาศให้เป็นพิษเพิ่มอีกด้วย

มาผายลมใส่ มาเพิ่มความเห็น
มาเป็นตัวขัดขวาง ขัดขา หรือสนับสนุนก็ได้
มาทำให้เราต้องซักเสื้อผ้า รีดเสื้อผ้า ทำอาหารเพิ่มขึ้น

ดังนั้นการแต่งงาน
มันจึงไม่ใช่ฉากรักในละครน้ำเน่า
 ที่ฝ่าฟันกันมาแล้วมาหวานชื่นตอนจบในพิธีแต่งงาน

แต่แท้จริงการแต่งงานมันเป็นเพียง
การรับเอาปัญหาของคนอื่นมาเพิ่ม
การแต่งงานมันเป็นเพียงการ
เริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน 
สร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน
จะสำเร็จหรือล้มเหลว
มันก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนเป็นหลัก
และก็พร้อมที่จะคืนชีวิตให้แก่กัน
เมื่อเห็นว่ามันฝืนและไปต่อไม่ได้

การแต่งงานมันจึงไม่ใช่
ความสำเร็จในชีวิต แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นการดำเนินชีวิต 
และสูญสิ้นซึ่งอิสระภาพส่วนตัวบางอย่างไปด้วย




โซ่รักขาดแล้ว

คำร้อง- ทำนอง กังวาล ทองเนตร
ขับร้อง โดย กังวาล ทองเนตร
ลิขสิทธิ์และเจ้าของ โดย กังวาล ทองเนตร



วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ก็แค่ชีวิต


บางครั้งชีวิตคนเรา ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
บางครั้งก็ดูสับสน ซ่อนเงื่อน
บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
มากมายความรู้สึก ที่แฝงอยู่ในตัวคนเรา
บางครั้งก็มีเหตุผล บางครั้งก็ไร้ซึ่งเหตุผล
บางครั้งก็ดูเข้มแข็ง แข็งแกร่งดุจหินผา
บางครั้งสองแก้มก็อาบไปด้วยน้ำตา
เหมือนกับเด็กยังไม่หย่านม

หลายวันอารมณ์ก็ดูสดใส
อยากท่องไปอย่างเสรีในโลกกว้าง
มองเห็นพบเจอสิ่งใด ล้วนแต่มีความสุข
บางครั้งโลกทั้งใบก็กลายเป็นนรก
มีแต่สิ่งขวางหูขวางตา ฉาบเคลือบไปด้วยมายาคติ
ซึ่งมันยากเกินกว่าจะเข้าใจ
บางครั้งเราคิดว่า เราเชี่ยวชาญ เรารู้จักชีวิต
และสัมผัสโลกนี้ได้ดีพอ

แต่บางครั้งก็ทำให้เราได้รู้สึกว่า เรายังอ่อนหัด
ด้อยประสบการณ์ ไร้เดียงสา สำหรับการเรียนรู้ชีวิต
เรายังอยู่ไกลเกินกว่า คำว่า เชี่ยวชาญ
ยิ่งเราพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นเท่าใด
เรายิ่งรู้สึกว่า เรายังด้อยเสียเหลือเกิน
หรือชีวิตก็เป็นอย่างนี้เอง

เราเองต่างหากที่ไม่พยายาม เข้าใจ และเรียนรู้ที่จะใช้มัน
เราเองต่างหากใช่หรือไม่ที่พยายามที่จะหนีมัน และมีอิทธิพลเหนือมัน
ทั้งที่ในความเป็นจริง เราควบคุม หรือบงการอะไรมันไม่ได้เลย
แม้เพียงน้ำตาที่รินหยด หลั่งรดอาบสองแก้ม
เรายังไม่สามารถที่จะหยุดไม่ให้มันไหลออกมาได้เลย
ไม่มีใครรู้จักชีวิตและโลกนี้ได้ดีพอหรอก
ไม่มีใครควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้เชี่ยวชาญมากมาย
สิ้นลมหายใจไปพร้อมด้วยน้ำตา แห่งความเศร้าโศกและผิดหวังในชีวิต

แล้วเราเป็นใคร
เราก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ในวงโคจรของสิ่งมีชีวิต ในโลกใบนี้เท่านั้น
ที่ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นไป ตามวัฎจักร ตามวงจรของมัน
และจากไปตามเวลาของมัน เราไม่สามารถ ควบคุมหรือกำหนดอะไรมันได้เลย
แม้แต่ ลมหายใจสุดท้าย ของตัวเราเอง 
เพราะชีวิตเราคือส่วนประกอบหนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้น

ลังเล

รัก

เพ้อ

คึกคัก

ท้อ

ทรมาน

สิ้นหวัง

เยียวยา