เราอกหักเพราะอะไร
มนุษย์เราเกิดมาบนโลกใบนี้
น้อยคนนักที่จะไม่เคยพบพากับความอกหักผิดหวัง
ไม่ว่าจะยากดี มีจน สาละวนหนีไม่พ้นความอกหัก ความผิดหวัง
คนจนก็ อกหักผิดหวังแบบคนจน
คนรวยก็อกหัก ผิดหวังตามแบบอย่างของคนรวย
แล้วถ้ามีใครถามว่า
เราอกหักเพราะอะไรกันล่ะ
ก็ต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า
เพราะเราคาดหวังนั่นเอง
สิ่งใดก็ตามที่เราคาดหวังเอาไว้
ยิ่งตั้งความหวังเอาไว้มาก
ถ้าไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังตั้งใจนั้น
มันก็จะยิ่งทำให้เราผิดหวังมากตามไปด้วย เป็นเงาตามตัว
ถ้าเราคาดหวังน้อย ก็ผิดหวังเพียงเล็กน้อย
ความคาดหวังส่วนใหญ่มาจาก
อยากได้ อยากเป็น อยากมี อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของสิ่งนั้น
ความคาดหวัง กับความฝันในวัยเด็ก มักมีผลต่างกัน
ในวัยเด็กเราทุกคนมักมีความฝันอยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่
แต่พอเวลาผ่านไป วัยเปลี่ยนไป สังคมเราเปลี่ยนไป
เราก็มักมีความฝันใหม่ๆเข้ามาอยู่เสมอ
โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้สึกเสียใจ หรือกระทบกระเทือนใจ
กับความฝันที่ไม่บรรลุผลนั้น
แตกต่างจากความคาดหวังเมื่อเราเติบโต
การที่เราทำอะไรลงไป เรามักจะทุ่มเท แรงกาย แรงใจ
โถมใส่เข้าไปด้วยในความหวังนั้น เพื่อหวังจะให้มันประสบผลสำเร็จ
ตัวอย่างเช่น เราทำธุรกิจ ทำการค้า เราก็หวังว่ามันจะประสบผลสำเร็จ
หวังให้กิจการนั้นเป็นแหล่งรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัวของเราเอง
เมื่อมันไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เราก็จะหมดแรง ถอดใจ
หรือ
เรารักชอบใครสักคน
เราก็มักจะทุ่มเท ทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ให้เธอ
ทั้งนี้ก็เพื่อหวังว่า เขาหรือเธอ จะตอบรับรักนั้นตอบสนองเรา
ทั้งที่บางครั้งเราก็ยังไม่ได้ เปิดโอกาสให้เธอ และเขา ได้เลือก หรือ
พิจารณาเราบ้างเลย
แต่เราเองกลับจะรวบรัด จะมัดมือชก
วิ่งตารีตาเหลือก หาโน่น ซื้อนี่ ติดไม้ติดมือมาเป็นของฝาก ของกำนัล
โดยไม่ทันถามฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำว่าเขาชอบ หรือถูกใจหรือไม่
พอเขาหรือเธอปฏิเสธ ก็เป็นเดือดเป็นร้อนว่าเขาไม่ให้เกียรติ เราบ้างล่ะ
รังเกียจเราบ้างล่ะ อุตสาห์ซื้อหา อุตสาห์แสวงหามาให้ บ้างล่ะ
ความอุตสาหะดังว่านั้น ถ้าจะพูดตามจริง
ก็เป็นเราเองนั้นแหละที่ริเริ่มเอง คิดเอง เออเอง
บางทีเพียงแค่เขายิ้มให้ หัวใจก็อ่อนระทวย เหมือนเทียนต้องไฟ
บางครั้งเพียงแค่เขาคุยด้วย เพราะอยู่บ้านใกล้กัน
หรือทำงานที่เดียวกัน เราก็เก็บไปฝันจะเลยเถิด เตลิดไปจนนอกทาง
พอฝันค้างก็โทษคนอื่น
สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุของความอกหักผิดหวังทั้งสิ้น
แล้วถ้ามีคนถามว่า เราไม่อยากอกหัก ก็ไม่ต้องคาดหวังได้หรือไม่
ก็ต้องตอบว่า
ไม่ได้ เพราะมนุษย์เรา เป็นสิ่งมีชีวิต เป็นสัตว์สังคม
ต้องการความรัก ความอบอุ่น ต้องการการยอมรับจากคนในสังคม
ต้องการแลกเปลี่ยนวิทยาการใหม่อยู่เสมอ
มนุษย์เราต่างจากสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นก็ตรงนี่ มนุษย์เรามี จินตนาการ
มีอุดมการณ์ หรือระบบความเชื่อ ที่สัตว์ไม่มี
ถ้ามนุษย์เราปราศจากอุดมการณ์ ปราศจากจินตนาการแล้ว
มนุษย์เราก็จะลดชั้นตัวเองเป็นเพียงสัตว์ชั้นต่ำเท่านั้นเอง
มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
มีชีวิตอยู่ตามสัญชาตญาณ
อยากก็กิน
ง่วงก็นอน
หิวก็ล่า
ถึงหน้าก็ผสมพันธุ์
ชีวิตที่ไร้สีสัน ไร้ชีวิตชีวาอย่างนั้น
มนุษย์เราอยู่ไม่ได้
เพราะมันไม่มีแรงบันดารใจให้กับชีวิต
มันจะทำให้เราเกิดความเฉื่อยชาในชีวิต
ดังนั้นเมื่อเราขาดสิ้น ความหวังไม่ได้
เราจะอยู่อย่างไรไม่ให้อกหัก หรือผิดหวัง
ก็ต้องบอกว่า
ควรใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท
มีความละเอียดรอบคอบให้มากขึ้น
คิดการใดก็คิดให้รอบด้าน ทุกมิติ
อย่าคิดเอาแต่ได้ หรือคิดเข้าข้างตัวเองอย่างเดียว
คิดการใดก็ควรดูกำลังของตัวเอง
ถ้าเราบินตามแรงที่ปีกเรามี
ถ้าเราออกแรงตามแรงที่เรามี แม้จะตก พลาดพลั้งบ้างบางครา
เราก็คงไม่ถึงกับต้องเจ็บช้ำมากจนเกินไป
ถ้าเจอคนถูกใจ
ก็อย่าคิดไปไกลว่า เธอคือแม่ของลูกเรา
เขาคือพ่อของลูกเราในอนาคต
แค่ยิ้มให้กันก็สมหวังแล้ว
วันที่สองยิ้มให้กันอีกก็อาจมีพูดคุยทักทายกัน
ก็เกินหวังไปอีกขั้น
วันที่สามทักทายกัน มีปัญหาปรึกษาหารือกัน
ก็ยิ่งเพิ่มความใกล้ชิด
วันที่สี่แลกเบอร์โทร ก็กำไรมากแล้ว
วันที่ห้า ถ้าใครขอแต่งงาน
วันที่หกก็ตกม้าตาย
ความรักต้องเป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย
ใส่ความจริงใจ ถอดหน้ากาก ไม่ดัดจริต
แสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
ให้กันและกันเห็น
อย่าปั้นหน้า อย่าวางท่า อย่าอวดฟอร์ม
อย่าทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติมนุษย์ธรรมดา
กิริยาเหล่านี้ มันจะถูกซึมซับจากฝ่ายตรงข้าม
โดยที่เขาหรือเราก็ไม่รู้ตัว
แล้วความอกหักจะหาเราไม่เจอ
รักพี่ได้ไหม
คำร้อง- ทำนอง กังวาล ทองเนตร
ขับร้องเป็นไกด์ไลน์ โดย กังวาล ทองเนตร
กังวาล ทองเนตร เจ้าของลิขสิทธิ์เพียงผู้เดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น