คนเราแต่ละคนมีปลายทางชีวิตที่แตกต่างกัน
ความฝันจะชักนำให้เราเดินสู่ทางเส้นนั้นเอง
ขึ้นอยู่กับว่าเราฝันสิ่งใด จากนั้นเราก็จะเดินเข้าสู่เป้าหมาย
ส่วนจะถึงเป้าหมายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของแต่ละคน
บางคนมุ่งมั่นสู่เป้าหมายนั้นด้วยความรู้ความสามารถ
บางคนทอดกายเป็นสะพาน ให้ตัวเองได้มาซึ่งสิ่งนั้น
โดยไม่แคร์สายตาใคร หรือศิลธรรม จรรยาใดๆก็มี
คนเราหาสิ่งใดก็มักจะได้สิ่งนั้น เช่น
หาการศึกษา หาความรู้ เราก็จะได้มีการศึกษา มีความรู้ในที่สุด
หาเรื่อง ก็จะได้แต่เรื่อง วุ่นวายไม่รู้จบรู้สิ้น
หาคุกก็จะได้คุก
หาเพื่อนดีก็จะได้เพื่อนดี หาเพื่อนกินก็จพได้เพื่อนกิน
หาเพื่อนเลวก็จะได้เพื่อนเลว
หามิตรแท้ก็จะได้มิตรแท้
หารักแท้ก็จะได้รักแท้
หาความเสื่อมให้ตนเองก็จะได้ความเสื่อม
หาหนี้ก็จะได้หนี้
หาความเจริญก้าวหน้าก็จะได้ความเจริญก้าวหน้า
หาศัตรูก็จะได้ศัตรู
คิดง่ายๆเราปลูกสิ่งใดก็ย่อมได้สิ่งนั้น มันเป็นสัจจธรรม เป็นจริง เป็นนิรันดร์
ถ้าเรายกตีนใส่เขา เขาก็ต้องยกตีนใส่เรา
ถ้าเรายกมีดใส่เขา เขาย่อมยกมีดใส่เราเช่นกัน
ถ้าเราหันปืนใส่เขา ก็ก็หันปืนใสเรา
ถ้าเรายกมือไหว้เขา เขาก็ยกมือไหว้เราตอบด้วย
นี่คือหลักความจริง มันเป็นอมตะเป็น นิรันดร ที่ใครต้องการสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น
และผลที่ตามมามันก็ย่อมไม่แตกต่างจากนั้น
คนเรานิสัยเช่นไร ก็จะคบคนเช่นนั้น
เหมือนน้ำ ก็จะไหลไปหาน้ำ
น้ำมันก็จะไหลไปรวมกับน้ำมันเช่นกัน
ไม่มีทางที่น้ำกับน้ำมันจะรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันได้
สันดานคนก็เช่นนี้ คนเช่นใด ก็คบคนเช่นนั้น
ดังนั้นแรงผลักที่สำคัญที่ทำให้เราเดินไปสู่เป้าหมายแห่งฝันคือ สันดานนี่เอง
คนสันดานเสีย ก็มีเป้าหมายไปที่เสีย แล้วก็พาตัวเองเดินไปตามเป้าหมายนั้นตามที่สันดานมันอยากไป
คนสันดานดี ก็จะตั้งเป้าหมายไว้ทางดี แล้วก็เดินทางสู่ฝันนั้นด้วยสันดานที่ดีผลักพาไป เช่นกัน
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ มันจึงเป็นสันดาน หรือจิตใต้สำนึกเราเท่านั้นที่สร้างแรงผลัก แรงบันดารใจ ออกมา
แล้วมันก็พาตัวเราไปในเส้นทางต่างๆ
หลายๆครั้งเรามานั่งทอดอาลัย โทษฟ้าโทษดิน โทษพ่อ โทษแม่ ว่า ทำไมไม่อย่างนั้น ทำไมไม่อย่างนี้
แต่ไม่เคยโทษตัวเอง พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาจนโต ก็บุญคุณล้นฟ้า พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา ตายกี่ชาติก็ชดใช้ไม่หมด เรายังจะร้องขอเอาอะไรจากพ่อแม่อีกเล่า
ทำไมเราไม่ถามตนเองว่า เรา ให้อะไรกับพ่อแม่ เพื่อเป็นการตอบสนองบุญคุณนั้นคืนไปบ้าง
ทำไมเราไม่ถามตนเองว่า กี่ครั้งแล้วที่เราทำให้พ่อแม่เจ็บปวด ผิดหวัง เสียน้ำตาเพราะลูกเลวๆอย่างเรา
กี่ครั้งแล้วที่เรา ทำผิดซ้ำซากทั้งที่พ่อแม่ร้องเตือน และก็ให้อภัยแล้วให้อภัยอีก
ทำไมเราไม่ถามว่า เราให้อะไรกับตนเองบ้าง ในสิ่งที่เราโทษคนอื่นนั้น เราเคบทำให้ตนเองบ้างไหม
เรากล่าวหาว่าพ่อแม่ไม่ส่งเราเรียนหนังสือ พอเรามีงานทำสามารถส่งตัวเองได้ เราได้ทำสิ่งนั้นหรือไม่
เรากล่าวหาว่าพ่อแม่กินแต่เหล้า เมาแต่ยา แต่เราก็ทำเช่นเดียวกับที่เราด่าว่าพ่อแม่
เรากล่าวหาว่าทำไมเราไม่ก้าวหน้า เราโทษสังคม โทษสารพัด แต่ไม่โทษตัวเอง ว่าตัวเองหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับตนเองบ้างหรือไม่ ตลอดชีวิต มีแค่ การพนัน ม้า มวย หวย บอล และก็เหล้า
แล้วมึงจะเอาอะไรกับชีวิต ถ้ามึงประพฤติเช่นนั้น มึงจะโทษคนอื่นเพื่ออะไร เพื่อให้ตนเองดีขึ้นหรือไร
- ถ้าเราไม่เคยให้เกียรติตนเอง ก็อย่าหวังจะให้คนอื่นมาให้เกียรติ เพราะเราเองยังไม่เคยทำสิ่งนั้น
- ถ้าเราไม่เคยให้โอกาสกับตนเองก็อย่าเสียเวลาไปร้องขอโอกาสจากคนอื่นอีกเลย
- ถ้าเราวางตัวไม่เหมาะสม วางตัวไม่ดีสมควรแก่ฐานะ ก็อย่าห้ามมิให้คนอื่นดูถูกเรา
- ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าตนเอง ก็อย่าหวังจะให้คนอื่นเห็นคุณค่าเราเช่นกัน
ตราบใดที่เรายังทำตัวต่ำต้อย ถ่อยสถุน ไร้ค่า ก็อย่าห้ามสายตาคนอื่น มิให้มองเรา เห็นเราเป็นเช่นนั้น
ก็เพราะเราทำตัวให้เขาเห็นเอง มันส่อออกมาเอง
อยากให้คนยกย่อง ให้เกียรติก็ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ให้คนเห็น และยกย่องเห็นค่า ให้เกียรติตัวเองก่อนเสมอ
หลักการของการมีชีวิต
มันมิใช่เกิดมาแล้ว ต้องได้ หรือไม่ได้สิ่งใด ชีวิตมันขึ้นอยู่กับเราพามันไปเส้นทางใด หาสิ่งใด มีเป้าหมายชีวิตอย่างไร ไม่มีสิ่งใด ลอยมา เกิดขึ้นเอง หรือเจริญก้าวหน้า หรือตกต่ำเอง ไม่มี ไม่เคยมี
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ กฎแห่งกรรม หรือกฎของการกระทำ กรรม คือ การกระทำ ทำกรรมดี ย่อมได้สิ่งดี ทำกรรมชั่วหรือสิ่งชั่ว เป็นกรรมชั่ว ย่อมได้สิ่งชั่วตอบแทนเช่นกัน
- ไม่มีใบปริญญาทีี่จะลอยมาใส่มือเรา โดยที่เรามิได้เป็นคนขวนขวาย หมั่นเพียรศึกษาหามาเอง
- ไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงเกิดขึ้นมาเองโดยที่เรา นอนเกาขี้กลากอยู่เฉยๆ
- ไม่มีทางที่เราจะได้สามี หรือภริยาที่ดี หรือครอบครัวที่ดี ถ้าแม้แต่ตัวเราเองยังไม่รู้จักสิ่งนั้นและไม่เคยทำสิ่งนั้น
เราชอบคาดหวังจากคนอื่นเสมอ ว่าต้องให้เราอย่างนี้อย่างนั้น ต้องการรักแท้ ต้องการสามีที่ดี ต้องการภรรยาที่ดี ต้องการครอบครัวที่ดีแต่ไม่เคยหันมาดูตัวเองเลย ว่าเราให้สิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่ เราเองก็ทำไม่ได้ แล้วเราจะคาดหวังอะไร เราอยากได้สิ่งใดตอบแทนเราต้องทำสิ่งนั้นด้วย
- พุทธองค์สอนว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หมายถึงตัวเราเองต้องเป็นที่พึ่งให่ตนเองได้ก่อน หรือช่วยเหลือรับผิดชอบตนเองได้ก่อน เราจึงจะช่วยผู้อื่นรับผิดชอบผู้อื่นด้วยได้
ตราบใดที่เรายังทำสิ่งนั้นมิได้ ก็อย่าพึงแสวงหาสิ่งดีนั้นจากผู้อื่นเลย เพราะคนที่มีสิ่งนั้นในตัวในคุณสมบัตติตนเองดีแล้ว คนเหล่านั้นก็จะแสวงหาคนเช่นเดียวกับพวกเขาอยู่ดี เขาไม่มามองเราหรอก ทำนองน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน หรือภาษาพุทธบอกว่า กรรมเขาเสมอกัน คือ การกระทำเขาเท่ากัน คือดีเสมอกัน หรือชั่วเสมอกันนั้นต่างหากคือตัวกำหนด
ดังนั้นอนาคตของเรามันจะดีหรือไม่ดี มันจึงขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในวันนี้นี่เอง การกระทำในวันนี้จะมีผลส่งออกไปสามทาง คือ ส่งผลให้อดีตเราว่าเป็นอย่างเรา เพราะเลยนาทีนี้ก็เป็นอดีตแล้ว ส่งผลทางที่สองคือ ว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร เช่นปัจจุบันเรากำลังมุ่งมั่นเรียนปริญญา แน่นอนว่าอนาคตเรา มันต้องเป็นบัญฑิตที่จบปริญญาในซักวัน และผลทางที่สามคือส่งผลต่อสังคมแวดล้อม และชีวิตเส้นทางของเราเอง ถ้าเราจบปริญญา เราก็มีงานทำที่ดีขึ้นคนรอบข้างก็ได้ดีตามไปด้วยคือไม่เดือดร้อนกับพฤติกรรมของเรา
แต่ถ้าเราเฝ้าแต่ทำชั่ว สังคมก็จะเดือดร้อน มีโจร มีอาชญากรคนนึงเพิ่มขึ้นในสังคม และสุดท้าย ทั้งอดีต อนาคตตัวเอง ก็มืดบอดอย่างสิ้นเชิง
มันจึงอยู่ที่เราว่า เราต้องการสิ่งใด เราหาสิ่งใด ให้กับตัวเราเอง